วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

คำพยากรณ์ดวงเมืองบางกอกในสถานการณ์ปัจจุบัน ของ อ.พลูหลวง

 
คำพยากรณ์ของโหร "พลูหลวง"
อ.พลูหลวง
 

           จากการที่คุณกำแหง ภริตานนท์ ได้โพสข้อความเกี่ยวกับการทำนายดวงบ้านเมืองของท่านอาจารย์พลูหลวง หรือ อาจารย์ประยูร อุลุชาฏะ เอาไว้ในเวปพยากรณ์ดอทคอม แล้วปรากฎผลว่าแม่นยำยิ่งกว่าตาเห็น จึงมีนักศึกษาหลายท่านที่ศึกษาโหราศาสตร์ระบบพลูหลวง ร้องขอให้ผมช่วยชี้แจงแถลงไข ถึงที่มาที่ไปของคำพยากรณ์ ว่าท่านอาจารย์ใช้หลักการในการพิจารณาอย่างไร ผมก็เลยถือโอกาสตอนน้ำท่วมใหญ่ และได้ให้นักศึกษาที่ประสบภัยหยุดเรียน หรือปิดเทอมหนีน้ำชั่วคราว มีเวลามากพอ จึงได้เขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา ซึ่งก่อนอื่นขอนำกระทู้ของคุณกำแหงที่โพสไว้ให้ท่านทราบก่อน โดยคุณกำแหงได้โพสไว้ดังนี้
          อ.พลูหลวง ได้ละสังขารทิ้งร่างไปเมื่อ วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม 2543 แต่ได้ฝากผลงานโดยเฉพาะการทำนายความเป็นไปของบ้านเมืองได้อย่างแม่นยำ ยิ่งกว่าตาเห็น ซึ่งผู้เขียนขอสรุปโดยย่อให้ประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะเยาวชนรุ่นหลังได้รับรู้ จดจำ และมีความภูมิใจในโหราศาสตร์ไทยตามแนว วิทยาศาสตร์ของอาจารย์ไว้ดังนี้

          ประเทศสยามถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นประเทศไทยเมื่อ 24 มิถุนายน 2482 ประกาศเวลา 09.00 น. เมื่อผูกดวงกาลชาตาก็จะมีลัคนาอยู่ที่ราศีกรกฎ (ที่ถูกต้องคือ ราศิสิงห์) อาจารย์ได้วิจารณ์ไว้ว่า...
          "คำว่า สยาม หรือ เสียม เป็นคำที่สำคัญที่สุด เพราะมาควบคู่กับความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรทุกยุคทุกสมัย การเปลี่ยนชื่อประเทศ ซึ่งเท่ากับการทำลายเอกลักษณ์ของชาติ เป็นการฉีกประวัติศาสตร์โดยสิ้นเชิง"
          อ.พลูหลวงได้พยากรณ์ ดวงชะตาการเปลี่ยนชื่อจากสยามมาเป็นไทยไว้ จะเห็นว่าอาจารย์ได้แบ่งออกเป็น 10 ยุคในรอบร้อยปี โดยแต่ละยุคมีอายุ 10 ปี นับแต่มีการเปลี่ยนชื่อประเทศ
                     1. ยุคกาลี ตรงกับช่วง พ.ศ.2482-2492
                     2. มิตรมาเยือน ตรงกับช่วง พ.ศ.2492-2502
                     3. เฉือนดินแดน ตรงกับช่วง พ.ศ.2502-2512
                     4. แสนแค้นกลางเขาควาย ตรงกับช่วง พ.ศ.2512-2522
                     5. ลายเสือครองเมือง ตรงกับช่วง พ.ศ.2522-2532
                     6. ฟูเฟื่องชาวสังคม ตรงกับช่วง พ.ศ.2532-2542
                     7. ชมบุญทรราช ตรงกับช่วง พ.ศ.2542-2552
                     8. ชาติวิปโยค ตรงกับช่วง พ.ศ.2552-2562
                     9. โรคคลาย ตรงกับช่วง พ.ศ.2562-2572
                   10. หายกังวล ตรงกับช่วง พ.ศ.2572-2582
          ผมไม่ได้มีเจตนาจะไปว่าใครเป็นทรราชนะครับ เพียงแต่นำเสนอข้อมูลที่ท่าน อ.พลูหลวง ได้เคยทำนายอนาคตประเทศไทยเอาไว้เท่านั้น ส่วน อ.พลูหลวงจะแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านเองว่า ควรจะเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน เพราะการแสดงความคิดเห็นก็มีทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยเป็นธรรมดาครับ
          แต่สิ่งที่ผมต้องการจะเน้นย้ำความสำคัญ ก็คือคำทำนายที่ว่า ชาติวิปโยค ตรงกับช่วง พ.ศ. 2552-2562 ซึ่งก็มาตรงกับคำทำนายที่ผู้ตั้งกระทู้นี้ ได้นำเสนอคำทำนายของโหรท่านหนึ่งในจังหวัดนครปฐม และมาตรงกับคำทำนายในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์ด้วย
          ถ้าปี พ.ศ. 2560 เป็นปีที่สิ้นสุดเหตุการณ์ 7 ปีกลียุค ซึ่งเป็น 7 ปี แห่งความทุกข์ยากของมวลมนุษยชาติทั้งโลก จริงดังคำทำนายแล้ว กว่าจะมีการฟื้นตัวของธรรมชาติกลับมามีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธัญญาหารต่างๆ อีกครั้ง อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลา 1-2 ปี (โดยได้รับความช่วยเหลือในการฟื้นฟูจากมนุษย์ต่างดาว)
          ดังนั้นช่วงเวลา พ.ศ. 2552-2562 ที่ อ.พลูหลวงได้ทำนายเอาไว้ว่าประเทศไทย (รวมถึงประเทศต่างๆ ทั่วโลก) จะต้องประสบกับความวิปโยคนั้น จึงไม่ใช่สิ่งที่เกินไปจากความเป็นจริงเลยครับ
          ครับ ข้อความข้างต้นไม่ได้อธิบายรายละเอียดของที่มาที่ไป ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผมที่ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ ระบบพลูหลวง หรือเกษตรเรือนเดียว มานานเกือบ ๓๐ ปี เพื่อไขข้อข้องใจให้กับผู้ศึกษา และผู้สนใจในระบบพลูหลวง ได้รับทราบโดยทั่วกัน ส่วนจะเชื่อถือได้แค่ไหน ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคลก็แล้วกัน
          ก่อนอื่นเรามาพูดถึงมูลเหตุที่ จอมพล ป. พิบูลสงครามซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสยามประเทศในวาระแรก คือ ระหว่างวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๔๘๑ ถึง วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๘๗ (๒ สมัย ในช่วงแรก) อันเป็นช่วงที่ท่าน อ.พลูหลวง ได้เรียกว่า ยุคกาลี ว่า มีเหตุผล และความจำเป็นมากเพียงใด ที่จะต้องมีการเปลี่ยนชื่อจาก สยาม มาเป็น ไทย ทั้งๆ ที่ประเทศสยามนั้นเป็นประเทศเก่าแก่มีอยู่ในแผนที่โลก เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกนานมากกว่าพันปี
          คำว่า สยาม มาจากคำว่า เสียม ที่เป็นภาษาจีน คนจีนเรียกคนไทยว่า เสียมนั้ง และเรียกประเทศไทยว่า เสียมก๊ก ต่อมาเพี้ยน หรือออกเสียงเป็นภาษาไทยว่า สยาม (Siam) ฝรั่งต่างชาติ คนทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดี ถือเป็นเอกลักษณ์แสดงความเป็นชาติของชนชาติไทย ถ้าจะว่าด้วยเหตุผลแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเปลี่ยนชื่อด้วยซ้ำ แต่ที่จอมพล ป. กล้าหาญชาญชัยใช้หลักนโยบายเผด็จการทหาร คือ ทุกคนต้องเชื่อผู้นำ ชาติจึงจะพ้นภัย จึงประกาศรัฐนิยมออกมามากมายถึง ๑๒ ฉบับ รวมทั้งการเปลี่ยนชื่อประเทศ สยาม เป็นประเทศไทยด้วย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเพียงเพื่อยกตนขึ้นข่มท่าน คือ ประกาศเป็นนโยบาย ระเบียบข้อบังคับคนในสังคม แทนที่จะประกาศเป็น พระบรมราชโองการ หรือตราเป็นพระราชบัญญัติออกมา เพราะจอมพล ป. คิดอยู่เสมอที่จะ ล้มเจ้า หรือ ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ นั่นเอง รายละเอียดเรื่องนี้ หาอ่านได้จากบทความเรื่อง จอมพล ป. ล้มเจ้า
          รัฐนิยมเป็นนโยบายของรัฐบาลของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เพื่อปลุกระดมความรักชาติและปรับปรุงวัฒนธรรมให้เหมือนอารยประเทศ โดยออกประกาศทั้งหมด ๑๒ ฉบับ และฉบับที่ ๑ ได้ประกาศให้ใช้ชื่อประเทศไทย แทนประเทศสยาม และประชาชน สัญชาติ ก็ใช้คำว่า ไทย แทน สยาม เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๒ โดยมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๔๘๒ โดยให้เหตุผลไว้ในประกาศรัฐนิยม ฉบับที่ ๓ ที่ให้เรียกคนไทยภาคต่างๆ ว่า คนไทย ดังนี้
          เรื่องการเรียกคนในประเทศว่า คนไทย แม้มีเชื้อสายอื่นก็ให้ถือว่ามี สัญชาติไทย มิให้แบ่งแยก เป็นความต่อเนื่องจากรัฐนิยมแบบแรก นั่นคือการเรียกชื่อว่า ไทยเหนือ ไทยอีสาน ไทยใต้ ไทยอิสลาม ให้เรียกว่า ไทย โดยรวมเพื่อขจัดความแตกต่าง ซึ่งกำหนดให้เลิกเรียกชื่อชาวไทยโดยใช้ชื่อไม่ต้องตามเชื้อชาติ และนิยมของผู้เรียก แต่ให้ใช้คำว่า ไทย แก่ชาวไทยทั้งมวลโดยไม่แบ่งแยก ทั้งนี้รัฐบาลมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความเป็นปึกแผ่นดินมั่นคงของประเทศและความกลมเกลียวสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติไทยทั่วทุกภาคของประเทศ กล่าวได้นับว่านับเป็นครั้งแรกที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า ชาวไทยมุสลิม เป็นคนไทยเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไปชนผืนแผ่นดินไทย มีข้อความว่าด้วยรัฐบาลเห็นว่า การเรียกว่าไทย บางส่วนไม่ต้องตามชื่อเชื้อชาติ และความนิยมของผู้ถูกเรียกก็ได้ การเรียกชื่อแบ่งแยกคนไทยออกเป็นหลายพวก หลายเหล่า เช่น ไทยเหนือ ไทยอีสาน ไทยใต้ และไทยอิสลาม ก็ดีไม่สมควรแก่สถานะของประเทศไทย ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะแบ่งแยกมิได้ จึงประกาศไว้ในรัฐนิยมไว้ ดังนี้
          1 ให้เลิกการเรียกชาวไทยโดยใช้ชื่อที่ไม่ต้องตามเชื้อชาติ และความนิยมของผู้เรียก
          2 ให้ใช้คำว่า ไทย แก่ชาวไทยทั้งมวลโดยไม่แบ่งแยก รัฐนิยมฉบับนี้ ซึ่งกำหนดให้เลิกการเรียกชาวไทยโดยใช้ชื่อที่ไม่ต้องตามเชื้อชาติ และความนิยมของผู้ถูกเรียก แต่ให้ใช้คำว่า ไทย แก่ชาวไทยทั้งมวล โดยไม่แบ่งแยก ทั้งนี้โดยรัฐบาลมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของประเทศ และความกลมเกลียวสามัคคี เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชนชาติไทย ทั่วทุกภาคของประเทศ กล่าวได้ว่านับเป็นครั้งแรกที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า ชาวไทยมุสลิมเป็นคนไทยเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไปชนผืนแผ่นดินไทย
          เหตุผลสรุปโดยรวมก็คือ เพื่อความกลมเกลียว เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ โดยไม่มีการแบ่งแยก แล้วผลออกมาเป็นอย่างไร เราท่านก็ทราบกันดีอยู่แล้ว จากวันนั้น จนถึงวันนี้ เราก็ยังแบ่งแยกกันอยู่ เรายังมีไทยเหนือ ไทยอีสาน ไทยใต้ ไทยกลาง กันเหมือนเดิม ภาษาแต่ละท้องถิ่นก็ยังคงเดิม วัฒนธรรมท้องถิ่นก็เหมือนเดิม คือ ยังมีความแตกต่างเหมือนเดิม แม้แต่ศาสนาก็เถอะ มีทั้ง ไทยพุทธ ไทยคริสต์ ไทยมุสลิม ดังนั้น การใช้ชื่อ สยาม คงเดิม หรือใช้ ไทย ก็ไม่ได้มีเหตุเพียงพอในการเปลี่ยนชื่อประเทศ เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนสัญชาติของคนไทย
          การประกาศรัฐนิยมฉบับอื่นๆ ของจอมพล ป. ก็เช่นกัน เจตนาที่แท้จริงนั้นทำเพื่อ ยกตนข่มท่าน หรือ แสดงอำนาจบาตรใหญ่ ของการเป็นผู้นำเผด็จการเท่านั้น ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของเหตุผล และการยอมรับของคนทั้งประเทศ ไม่ได้ตราเป็นพระราชบัญญัติ หรือกฎหมายเหมือนกับกฎหมายอื่นๆ เพราะต้องการริดรอนอำนาจ หรืออิทธิพลของผู้ที่นิยมเจ้า และต้องการให้ไทยกลับมามีการปกครองแบบเดิม (โดยเราจะเห็นได้ว่ามีการยกเลิกรัฐนิยมหลายฉบับในเวลาต่อมา) ถือเป็นการทำลายดวงเมืองบางกอก ที่พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ได้สถาปนาเอาไว้ จึงส่งผลเสียอย่างร้ายแรงแก่คนไทยตามมา และจะมีอิทธิพลต่อเนื่องกันไป จนกว่าจะสิ้นสุดราชวงศ์จักรี หรือไม่ก็กลับมาใช้ชื่อ สยาม อย่างเดิม
          ทีนี้เราจะมาวิเคราะห์คำพยากรณ์ ๑๐ ยุคๆ ละ ๑๐ ปี ที่ท่านอาจารย์พลูหลวงได้พยากรณ์ไว้ จะเรียกว่าพยากรณ์ทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะท่านได้ประมวลเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น นับแต่มีการเปลี่ยนชื่อประเทศ ประกอบกับกาลชะตาที่ผูกขึ้น เมื่อจับทางของดวงดาวได้ ท่านจึงได้พยากรณ์ออกมา ถ้าจะนับในเรื่องของการพยากรณ์จริงๆ ก็จะอยู่ในข้อที่ ๗, ๘, ๙ และ ๑๐ เท่านั้น เพราะท่านได้จากโลกนี้ไปก่อนที่เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้น
 
 
           ยุคที่ ๑ เรียกว่า ยุคกาลี อยู่ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ถึง พ.ศ. ๒๔๙๒ เมื่อผูกดวงชะตาวันที่มีการประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศนั้น จะเห็นว่า ลัคนาของดวงเปลี่ยนชื่อประเทศ อยู่ที่ ราศีสิงห์ อันเป็นที่ตั้งของลัคนาประเทศไทยพอดี โดยเราจะเห็นได้ว่า มีดาวบาปเคราะห์ร้าย และดาวที่ให้โทษเบียนลัคนาอย่างรุนแรงถึง ๘ ดวง กล่าวคือ มีดาวเนปจูน (น) ประธานบาปเคราะห์ เจ้าเรือนมรณะกุมลัคนา ดาวจันทร์ (๒) เจ้าเรือนวินาศนะ บีบหน้า, ดาวพลูโต (พ) บีบหลัง ดาวอังคาร (๓) ดาวฆาต ทำมุมปลายหอกทิ่มแทง, ดาวราหู (๘) กับ เกตุ (๙) หัวหางรวมกันโยคหน้า ดาวเสาร์ (๗) นิจ เจ้าเรือนอริ และดาวมฤตยู (๐) จรทำมุมตรีโกณ
          ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนชื่อประเทศในวันดังกล่าว จึงส่งผลร้ายมากกว่าผลดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะ ๑๐ ปีแรก ของการเปลี่ยนชื่อ ที่ อ.พลูหลวง เรียกว่า ยุคกาลี นั้น ท่านพิจารณาจาก ดาวอาทิตย์ (๑) เจ้าเรือนลัคนา ที่เสวยอายุ ซึ่งอยู่ในภพลาภะของดวงเปลี่ยนชื่อ ถ้ามองเผินๆ หรือหยาบๆ ก็น่าจะส่งผลดี แต่ที่ส่งผลร้าย เนื่องจาก ดาวอาทิตย์ (๑) ถูกบาปเคราะห์ร้าย และดาวที่ให้โทษ เบียนไม่น้อยไปกว่าลัคนาด้วยเช่นกัน กล่าวคือ
          มีดาวพลูโต (พ) นำหน้า ดาวเนปจูน (น) มรณะโยคหน้า, ดาวจันทร์ (๒) วินาศนะ กากบาท, ดาวราหู (๘) เกตุ (๙) ตรีโกณ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า ดาวบาปเคราะห์ และดาวร้ายพาดผ่านนำหน้าเป็นขบวน นอกจากนั่น ยังมี ดาวอังคาร (๓) ทำมุมปลายหอก  และ ดาวเสาร์ (๗) ดาวมฤตยู (๐) โยคหลัง ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดเรื่องร้ายๆ แก่ประเทศไทยอย่างมากมาย ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ถึง ๒๔๙๒ กล่าวคือ
          เกิดสงครามอินโดจีน หรือ สงครามระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. ๒๔๘๓, เกิดสงครามโลก ครั้งที่ ๒ หรือ สงครามมหาเอเซียบูรพา ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๘, เกิดคดีลอบปลงพระชนม์ ร.๘ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ อันเป็นที่สะเทือนขวัญประชาชนอย่างมาก, เกิดกบฏต่างๆ มากมาย เช่น กบฏพระยาทรงสุรเดช หรือกบฏ ๑๘ ศพ (๒๔๘๑), กบฏเสนาธิการ (๒๔๙๑) กบฏแบ่งแยกดินแดน (๒๔๙๑), กบฏวังหลวง (๒๔๙๒), มีการฆ่าโหด และสังหาร ๔ รัฐมนตรี และกำจัดนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ฯลฯ
          จะเห็นว่าบ้านเมืองในช่วงดังกล่าวมีแต่เรื่องร้ายๆ เข้ามาแทบทุกปี ประเทศชาติไม่มีความสงบสุข ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากภัยสงคราม จากการกดขี่ของผู้มีอำนาจ จากภัยเศรษฐกิจ ฯลฯ ประเทศชาติไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แม้สถาบันพระมหากษัตริย์ยังถูกคุกคาม อย่างนี้ไม่เรียกยุคกาลี หรือกลียุค ซึ่งแปลว่า ยุคแห่งความชั่วร้าย แล้วจะให้เรียกว่าอย่างไร
          ยุคที่ ๒ เรียกว่า มิตรมาเยือน อยู่ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๒ (นับจากวันที่ ๒๔ มิถุนายน) ถึง พ.ศ. ๒๕๐๒ (จนถึงวันที่ ๒๓ มิถุนายน) ในช่วงดังกล่าว ดาวเสวยอายุ ในระบบพลูหลวง คือ ดาวพุธ (๔) เจ้าเรือนกฎุมพะ หมายถึง การเงิน การติดต่อสื่อสาร การเดินทาง ฯลฯ ซึ่งอยู่ในภพวินาศนะ จะเห็นได้ว่า ดาวพุธ (๔) แม้จะอยู่ในภพทุสถานะ แต่ก็ได้รับอิทธิพลที่ดีจากดาวศุภเคราะห์ ทำมุมให้คุณทุกดวง กล่าวคือ มีดาวแบคคัส (บ) กุม ดาวอาทิตย์ (๑) ปิดทองหลังพระ, ดาวศุกร์ (๖) โยคหลัง ดาวจันทร์ (๒) โยคหน้า และดาวพฤหัสบดี (๕) ตรีโกณ จึงส่งผลให้ไทยเรา มีการติดต่อสื่อสารกับมิตรประเทศอย่างกว้างขวาง เป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติมากขึ้น เพราะกลับกลายสถานะจากประเทศผู้พ่ายแพ้สงคราม มาเป็นประเทศผู้ชนะสงคราม ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกสหประชาชาติ มีประเทศต่างๆ เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี ก่อตั้งสถานทูตในไทยอย่างมากมาย โดยเราจะเห็นได้ว่า ในจุดที่ดาวพุธ (๔) อยู่นั้น มีดาวแบคคัส (บ) เจ้าเรือนการงาน และ ดาวพลูโต (พ) เจ้าเรือนภพศุภะ อันหมายถึง เกียรติยศชื่อเสียง ความดีงาม การต่างประเทศ ฯลฯ รวมอยู่ด้วย จึงได้รับอิทธิพลจากดาวศุภเคราะห์ทุกดวงด้วยเช่นกัน
          ยุคที่ ๓ เรียกว่า เฉือนดินแดน ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๒ ดาวที่เสวยอายุคือ ดาวศุกร์ (๖) เจ้าเรือนสหัชชะที่อยู่ในภพกัมมะ ในพื้นดวงเปลี่ยนชื่อ แม้ศุกร์ (๖) จะได้รับกระแสที่ดีจากดาวศุภเคราะห์ทุกดวงก็ตาม แต่ดาวศุกร์ (๖) ก็ถูกเบียนจากดาวบาปเคราะห์ และดาวที่ให้โทษอย่างยับเยิน คือ ต้องกระแสดาวอังคาร (๓) ดาวฆาต และดาวจันทร์ (๒) เจ้าเรือนวินาศนะที่ทำมุมถึงทั้งสองจุด เมื่อวางลัคนาในจุดของดาวศุกร์ (๖) จะพบว่า ดาวเนปจูน (น) มรณะวัฏฏจักร ประธานบาปเคราะห์ เจ้าเรือนวินาศนะโลกธรรม อยู่ในเรือนอาทิตย์ (๑) ซึ่งเป็นดาวเจ้าเรือนพันธุของดาวศุกร์ (๖)  และดาวอาทิตย์ (๑) เจ้าเรือนพันธุดาวศุกร์ หมายถึง บ้านเรือนที่อยู่อาศัย รวมทั้งผืนแผ่นดินไทย ฯลฯ ก็ถูกเบียนอย่างหนัก ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ดังนั้น คำว่า เฉือนดินแดน ในที่นี้ อ.พลูหลวง คงหมายถึง การสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารให้แก่เขมร ตามคำพิพากษาของศาลโลก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ และการเกิดมหาวาตภัยที่แหลมตะลุมพุก ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ สร้างความสูญเสียแก่บ้านเรือน ชีวิตผู้คนอย่างมากมายนั่นเอง
          ยุคที่ ๔ เรียกว่า ยุคแสนแค้นกลางเขาควาย อยู่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๒ ดาวที่เสวยอายุในยุคนี้ คือ ดาวจันทร์ (๒) เจ้าเรือนวินาศนะ ที่นำหน้าลัคนาในภพกฎุมพะ (วินาศนะ-กฎุมพะ แปลว่า ทรัพย์สินสูญหาย หรือถูกทำลายอย่างไม่รู้ตัว หรือไม่คาดคิด) คำว่า แสนแค้น คนที่แค้นก็คือ คนไทย ส่วนคำว่า กลางเขาควาย ก็คือ การทำสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกา ยักษ์ใหญ่ค่ายเสรีนิยม และประเทศในโลกเสรีอีก ๗ ประเทศ (รวมทั้งไทยด้วย) กับ จีนแดง และรัสเซีย ยักษ์ใหญ่แห่งค่ายคอมมูนิสต์ ใน สงครามเวียดนาม ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ไปสิ้นสุดด้วยความพ่ายแพ้ของอเมริกาในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ทำให้เวียดนามใต้กลายเป็นคอมมูนิสต์ และรวมกับเวียดนามเหนือ เป็น เวียดนาม เดียวกันจนกระทั่งทุกวันนี้
          เหตุที่ไทยต้องไปอยู่ท่ามกลางเขาควาย เนื่องจากสหรัฐอเมริกาได้ขอความร่วมมือจากไทยใช้สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งตั้งอยู่ในเขตติดต่อของจังหวัดระยอง และชลบุรี เป็นฐานทัพในการต่อสู้กับฝ่ายคอมมูนิสต์ ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศฝ่ายเสรี ทีนี้พอสิ้นสุดสงคราม อเมริกาต้องถอนทัพกลับไป แทนที่จะไปมือเปล่า กลับขนเอาทรัพย์สมบัติของชาติทั้งเล็ก และใหญ่ เช่น ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์, มงกุฎทองคำสมัยอยุธยา, พระพุทธรูปเก่าแก่สมัยเชียงแสน อู่ทอง สุโขทัย ลพบุรี ฯลฯ และโบราณวัตถุอีกมากมายกลับไปด้วย อีกทั้งยังสร้างปัญหาสังคมให้แก่คนในชาติ ด้วยการไข่ทิ้ง ข้าวนอกนา เอาไว้เป็นภาระสังคมอย่างมากมาย อย่างนี้ไม่ให้ไทยแสนแค้นท่ามกลางเขาควายได้อย่างไร
          เมื่อวางลัคนาในจุดของดาวจันทร์ (๒) จะพบว่า มีดาวอังคาร (๓) ดาวฆาต เจ้าเรือนสหัชชะจากจุดนี้ และดาวศุกร์ (๖) เจ้าเรือนการเงิน ทรัพย์สมบัติ ของล้ำค่า ตรีโกณถึงกันและกันอยู่ จึงส่งผลให้ทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า อันเป็นมรดกของชาติไทย ต้องสูญหายอย่างที่ไม่มีใครล่วงรู้ คาดคิด คาดฝันมาก่อนว่า มิตรประเทศอย่างอเมริกา จะทำกับไทยได้
          ยุคที่ ๕ เรียกว่า ยุคลายเสือครองเมือง อยู่ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๓๒ ดาวที่เสวยอายุในช่วงนี้คือ ดาวอังคาร (๓) มหาอุจ ดาวแห่งการทหาร เจ้าเรือนพันธุ ที่อยู่ในภพอริ ยุคนี้เป็นยุคทหารครองเมือง เพราะคำว่า ลายเสือ ก็คือ ลายเสื้อทหาร (ชุดพราง) หรือชุดทหารพราน หรือเสือพราน นั่นเอง
          ยุคดังกล่าวแม้จะเป็นประชาธิปไตย แต่ก็เป็นได้แค่ครึ่งใบ ไม่เต็มใบ หรือบางทีไม่เหลือซักใบ เพราะทหารอาศัยช่องว่างของรัฐธรรมนูญที่เปิดโอกาสให้ คนนอก หรือ คนที่ไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง และ ผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเลือกจากสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ในยุคดังกล่าว เรามีนายกรัฐมนตรีที่มาจากทหารด้วยกัน ๒ คน คือ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๒ เป็นสมัยที่สองของท่าน โดยท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๐
          อีกท่านหนึ่งเราท่านรู้จักกันดีก็คือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ หรือ ป๋าเปรม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องยาวนาน ติดต่อกัน ๓ สมัย ระหว่างวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๒๓ ถึงวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๓๑ จนต้องเอ่ยวาจาว่า ผมพอแล้ว ทำให้เปิดทางให้นักการเมืองอย่าง พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ หรือ น้าชาติ มาดนักซิ่ง ได้มีโอกาสบริหารประเทศแค่ ๒ ปี จนนำไปสู่การทำรัฐประหารของกลุ่มผู้ก่อการ อันได้แก่ พลเอกสุจินดา คราประยูร, พลเอกอิสระพงษ์ หนุนภักดี พลอากาศเอกเกษตร โรจนนิล ฯลฯ ภายใต้การนำ หรือถูกนำมาเป็นหุ่นเชิดของ พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น
          เมื่อเราวางลัคนาที่ตำแหน่งดาวอังคาร (๓) มหาอุจ จะเห็นว่าได้รับกระแสที่ดีจากดาวศุภเคราะห์เกือบทุกดวง (ยกเว้นอาทิตย์ คู่ศัตรู) แต่ดาวอังคาร (๓) ก็ถูกดาวบาปเคราะห์เบียนอย่างหนักทุกดวงด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่า ดาวมฤตยู (๐) ดาวแห่งการรัฐประหาร มีดาวอังคาร (๓) มหาอุจ ดาวทหารเป็นสิบ ในช่วงดังกล่าว จึงมีการทำรัฐประหารเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพลเอกเปรมถึง ๒ ครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะดาวมฤตยู (๐) ถูกเบียนอย่างยับเยิน ในทางตรงกันข้าม จะเห็นว่า ดาวอังคาร (๓) มหาอุจ นั่นเป็นดาวเจ้าเรือนลาภะ จะส่งผลให้กับใครก็ตามที่เข้ากับทหาร หรือเป็นพวกผู้นำทหารก็มักจะได้ดี จึงมีนักการเมืองนักกินเมืองทั้งหลาย ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าสนับสนุนผู้นำทหารให้เป็นใหญ่ ภายใต้การปกครองประชาธิปไตยเผด็จการทหารแบบไทยๆ
          ยุคที่ ๖ เรียกว่า ยุคฟูเฟื่องชาวสังคม อยู่ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดาวที่เสวยอายุในช่วงนี้คือ ดาวพฤหัสบดี (๕) เจ้าเรือนปุตตะ ที่อยู่ในภพมรณะ แม้จะมีดาวศุภเคราะห์ทำมุมให้คุณทุกดวง แต่ก็ถูกบาปเคราะห์เบียนอย่างหนักทุกดวงเช่นกัน จึงส่งผลในช่วงดังกล่าว ได้มีการทำการรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง (รัฐบาลน้าชาติ) และมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นทหารอีก ๑ ท่าน คือ พลเอกสุจินดา คราประยูร เจ้าของวาจาสง่างามคงความเป็นอมตะจนทุกวันนี้ว่า เสียสัตย์เพื่อชาติ นายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือดในเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ต้นเหตุที่ทำให้ ส.ส. แบ่งเป็น ๒ พวก คือ ฝ่ายเทพ ที่ไม่สนับสนุนทหาร และ ฝ่ายมาร ที่สนับสนุนทหาร
          จะว่าไปแล้วในยุคดังกล่าวนี้ นับเป็นยุคที่การติดต่อสื่อสารเริ่มก้าวหน้า พัฒนาขึ้น จากวิทยุมือถือ เป็นโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ การติดต่อสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตเริ่มได้รับความนิยม ม็อบที่ต่อต้านรัฐบาลนำเอาวิทยุมือถือเข้ามาใช้ จนสื่อตั้งชื่อว่า ม็อบมือถือ ด้วยเหตุนี้กระมัง ท่าน อ.พลูหลวง จึงเรียกยุคนี้ว่า ยุคฟูเฟื่องชาวสังคม คือ คนไทยในยุคดังกล่าว รับเอาวิทยาการใหม่ๆ สินค้าใหม่ แฟชั่นใหม่ๆ เข้ามาอย่างมากมาย โลกมีการพัฒนาถึงกับเรียกว่า ยุคโลกาภิวัฒน์ ก็เริ่มเกิดขึ้นในยุคนี้น่ะแหละ
          เมื่อวางลัคนาในจุดดาวพฤหัสบดี (๕) ที่ราศีมีน จะเห็นว่า ดาวมฤตยู (๐) ดาวเจ้าเรือนวินาศนะ หมายถึง การอยู่ในที่เร้นลับ ห่างไกล และยังหมายถึง เทคโนโลยีใหม่ๆ รวมไปถึงอินเทอร์เน็ต กุมดาวเสาร์ (๗) เจ้าเรือนลาภะ อันหมายถึงเพื่อนสนิท ลาภผล ความพึงพอใจ นำหน้าอยู่ในภพกฎุมพะ อันหมายถึง การติตต่อสื่อสาร  สมาคม ฯลฯ ได้รับกระแสที่ดีจากดาวศุภเคราะห์เกือบทุกดวง เว้นดาวจันทร์ (๒) จึงส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการของสังคม ในด้านการติดต่อสื่อสารครั้งใหญ่ มือถือ คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต ฯลฯ ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในยุคดังกล่าว และมีอิทธิพลต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ (การติอต่อกันทางเน็ต ไม่เห็นตัวตนกันจริงๆ ปิดบังซ่อนเร้น ไม่จริงใจ และอยู่ห่างไกลกัน เป็นการติดต่อสื่อสารที่เข้าข่าย วินาศนะ-กฎุมพะ)
          ยุคที่ ๗ ท่าน อ.พลูหลวง เรียกว่า ชมบุญทรราช นับแต่ยุคนี้เป็นต้นไป ต้องถือว่าเป็นคำพยากรณ์ของ อ.พลูหลวง อย่างแท้จริง เพราะตัวท่านไม่ได้อยู่ชมบุญทรราชย์กับใครเขา เราท่านจึงไม่รู้ว่า ทรราช คนดังกล่าว ท่านหมายถึงใคร ยุคดังกล่าวอยู่ในช่วงระหว่าง ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๕๒ ใครกันนะ ที่ปกครองประเทศในช่วงนี้ แล้วกระทำการถึงขั้นที่ต้องเรียกว่า ทรราช
          ก่อนอื่นมาตีความหมายของคำว่า ทรราช กันก่อนดีไหม ตามศัพท์แล้ว คำนี้ หมายถึง กษัตริย์ที่ลุแก่อำนาจ ไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม กดขี่ข่มเหง รังแกประชาชน เข่นฆ่าประชาชน ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ซึ่งน่าจะรวมไปถึง การทำให้ประเทศชาติประสบภัยพิบัติฉิบหายในด้านต่างๆ อีกด้วย
          แต่ในยุคปัจจุบันที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาล ทำการบริหารประเทศ ปกครองคนไทยทั้งประเทศ หากนายกรัฐมนตรีท่านใด มีพฤติกรรมดังกล่าว คนนั้นแหละ ทรราชย์ ซึ่งในประวัติศาสตร์ผู้ที่ถูกเรียกขานว่า ทรราช ได้แก่ จอมพลถนอม กิตติขจร, จอมพลประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร จากเหตุการณ์เข่นฆ่าประชาชน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
          ผมคงไม่อาจหาญระบุลงไปว่าใครเป็นทรราชในยุคนี้ และคงเขียนได้แค่นี้แหละครับ ไผเป็นไผ ก็รู้ๆ กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในประวัติศาสตร์ชาติไทย ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง และหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไปหาคำตอบในใจกันเอาเอง
          ในยุคนี้ ดาวที่เสวยอายุคือ ดาวเสาร์ (๗) ตัวทุกข์โทษ เจ้าเรือนอริ ที่อยู่ในภพศุภะ เมื่อวางลัคนาที่จุดนี้ จะเห็นว่า ดาวเสาร์ (๗) มาจากเรือนกัมมะ กุมกับดาวมฤตยู (๐) ที่มาจากเรือนลาภะ มองเผินๆ ดูเหมือนว่าจะดี เพราะทั้งสองได้รับกระแสที่ดีจากดาวศุภเคราะห์เกือบทุกดวง เว้นดาวจันทร์ (๒) แต่ที่เสียก็คือ ต้องกระแสดาวมรณะถึง ๒ ดวง คือ ดาวเนปจูน (น) เจ้าเรือนมรณะ ตรีโกณ และ ดาวอังคาร (๓) เป็นสิบ จึงทำให้เรื่องที่มองภายนอกเหมือนจะดี แต่มองลึกลงไป กลับส่งผลเลวร้ายตามมาในภายหลัง
          จากจุดราศีเมษ ที่มีดาวเสาร์ (๗) อยู่นั้น ดาวอาทิตย์ (๑) จะเป็นดาวเจ้าเรือนปุตตะ อยู่ในภพสหัชชะ ส่งผลให้ผู้นำในยุคนี้ ให้ความสำคัญแก่ผู้อยู่ใต้การปกครองอย่างมาก โดยเฉพาะพวกรากหญ้า แต่ก็นั่นแหละ ดาวอาทิตย์ (๑) ถูกเบียนอย่างมาก ในที่สุด คนที่ได้รับผลร้าย ผลเสียตามมาก็คือ ประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองนั่นเอง
          ปุตตะ ในทีนี้หมายถึง พสกนิกรชาวไทย ที่อยู่ภายใต้การปกครองของ ทรราช น่ะแหละ เมื่อวางลัคนาที่ดาวเสาร์ (๗) ตัวทุกข์โทษที่ราศีเมษ จะเห็นว่า มีดาวมฤตยู (๐) เจ้าเรือนลาภะ เกาะกุม ลาภผลที่ได้มาจึงเป็นลาภทุกข์ คือ มีลาภแล้วมีทุกข์ ส่งผลให้ชาวไทยในช่วงปีดังกล่าวที่ผ่านมาแล้ว ดูเผินๆ เหมือนว่ากินดี อยู่ดี มีความสุข อยากได้อะไรก็หามาได้ง่ายๆ แต่นั่นหมายถึง หลายคนต้องเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว จากโครงการเอื้ออาทรต่างๆ ที่สนับสนุนการเป็นหนี้ส่วนบุคคล แถมยังต้องเป็นหนี้ต่างชาติ จากการกู้ยืมของรัฐบาลในช่วงปลายยุคอีกต่างหาก
          ในปลายยุคดังกล่าว (ก่อนวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๒)  มีนายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือดอีก ๑ คน คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากการชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลของกลุ่มคนเสื้อแดง จนนำมาสู่การเข่นฆ่าประชาชน เผาบ้าน เผาเมือง ฯลฯ หลังจากที่ก่อนหน้านั้น ในรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ต่อเนื่องมายังรัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่มีการบุกยึดทำเนียบรัฐบาล มีการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ของกลุ่มเสื้อเหลือง เรียกยุคนี้ว่า ชมบุญทรราช ก็เพราะทำลายชาติบ้านเมือง เข่นฆ่าประชาชน นั่นเอง อ้อ ลืมบอกไป ทรราชย์ในที่นี้ อาจหมายถึง ผู้นำม็อบสีต่างๆ ที่พาคนมาตาย และเป็นต้นเหตุแห่งหายนะทั้งหลายทั้งปวงของประเทศชาติด้วยครับ
          ยุคที่ ๘ ท่านเรียกว่า ยุคชาติวิปโยค อยู่ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๒ เป็นคำพยากรณ์ที่เกิดขึ้นจริง ในขณะที่ผมกำลังเขียนบทความนี้ และเราท่านกำลังประสบอยู่ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คือ มีการสูญเสียบุคคลสำคัญของประเทศ การสูญเสียเฮลิคอปเตอร์ อันเป็นทรัพย์สินของทางราชการ การสูญเสียชีวิตของนักบินกองทัพบกถึง ๖ คน, การสูญเสียไร่นาสาโท สัตว์เลี้ยง ภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม เสียหายอย่างหนัก ทรัพย์สิน ชีวิตผู้คน ฯลฯ ต้องสูญสิ้นไป จากภัยน้ำท่วมใหญ่ นี่แค่เริ่มต้นยุคก็เจอจังๆ เข้าแล้ว และถ้าผมถามว่าจะเกิดขึ้นอีกไหม จากการที่ผมได้พิจารณาดวงบ้านดวงเมืองแล้ว ชาวไทย คนไทย ประเทศไทย จะต้องสูญเสีย หรือพบกับความวิบัติฉิบหาย จะต้องพบกับความวิปโยค ในเรื่องต่างๆ แทบทุกด้านอีกมากมายอย่างแน่นอน จนกว่าจะสิ้นสุดยุคนี้ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ น่ะแหละ
          ในยุคดังกล่าว ดาวที่เสวยอายุ คือ ดาวมฤตยู (๐) เจ้าเรือนปัตนิ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงคู่ครองนะครับ แต่หมายถึง ศัตรูที่มาทำลายล้าง อยู่ในภพศุภะ มีดาวเสาร์ (๗) ตัวทุกข์โทษ เจ้าเรือนอริ กุม มีดาวเนปจูน (น) เจ้าเรือนมรณะ ตรีโกณ และดาวอังคาร (๓) ดาวฆาต เป็นสิบ เรียกว่าต้องกระแสดาวมรณะด้วยกันถึง ๒ จุด
          จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ ว่า ทำไม คนไทยจึงต้องพบกับการพลัดพราก สูญเสียอย่างมากมายเช่นนี้ โดยเฉพาะภัยพิบัติที่มาจากน้ำ เนื่องจาก ดาวเนปจูน (น) เป็นดาวธาตุน้ำในทะเล หรือมหาสมุทรซึ่งเปรียบได้กับ น้ำหลากทุ่ง ที่ไม่ได้ไหลมาตามแม่น้ำลำคลอง กระจัดกระจายยากแก่การควบคุม อันเป็นผลมาจากน้ำฝนที่ตกลงมาในแอ่งน้ำ หรือในเขื่อนกั้นน้ำที่มีปริมาณมาก โดยไม่มีใครคาดคิดคาดฝัน นั่นหมายถึง ดาวจันทร์ (๒) เจ้าเรือนวินาศนะที่นำหน้าลัคนา และดาวเนปจูน (น) ในภพกฏุมพะ (การติดต่อสื่อสาร การเงิน ทรัพย์สิน เสียหายมาก)
          ดาวเนปจูน หรือ เจ้าเรือนวินาศนะโลกธรรม อันเป็นดาวเจ้าเรือนวินาศนะของมฤตยู (๐)อีกด้วย แปลว่า ไม่คาดคิดคาดฝัน ค่อยๆ แทรกซึม บ่อนทำลายอย่างช้าๆ เลือดเย็น และยังมีดาวอังคาร (๓) มหาอุจ ที่แปลว่า ยิ่งใหญ่ รุนแรง ดาวแห่งแม่น้ำลำคลอง ที่อยู่ในภพกัมมะ หรือ เป็นสิบ อีกทั้งยังทำมุมตรีโกณถึงดาวจันทร์ (๒) น้ำในเขี่อน หรือแอ่งน้ำ ดาวพันธุโลกธรรม หมายถึง บ้านเรือน ที่อยู่อาศัย เรือกสวน ไร่นา รถยนต์ ยานพาหนะ ฯลฯ ทำให้น้ำในแม่น้ำลำคลองมีปัญหาอุปสรรค เอ่อล้นท่วมท้นทำลายบ้านเรือนของประชาชนคนไทย รถยนต์ ยานพาหนะ ฯลฯ ตามลักษณะของดาวอังคาร (๓) ตัวทำลายล้าง
            ยุคที่ ๙ เรียกว่า ยุคโรคคลาย อยู่ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๗๒ ดูความหมายแล้ว แสดงว่า ดีแน่ๆ คนที่ป่วยหนัก อาการของโรคก็คงจะคลี่คลายลง ดาวที่เสวยอายุในช่วงนี้คือ ดาวเนปจูน (น) เจ้าเรือนมรณะ ที่กุมลัคนาอยู่ ถ้าคนที่ไม่ได้ศึกษาความหมายถึงดาวมรณะอย่างถ่องแท้ ต้องทายว่าร้าย เพราะเข้าใจว่า มรณะ คือ ตัวทำลายล้าง ความตาย แต่แท้ที่จริงแล้ว คำว่า มรณะ นั้น ยังหมายถึง การเปลี่ยนแปลงจากสถานะหนึ่ง ไปยังสถานะหนึ่ง จากร้ากลายเป็นดี หรือ จากดีกลายเป็นร้ายก็ได้ เมื่อบ้านเมืองก่อนหน้านั้น เจอภัยพิบัติ ชาติวิปโยค ดังนั้น ยุคต่อมา ก็น่าจะส่งผลดี อาจารย์พลูหลวงท่านจึงเชื่อว่าเป็นยุคโรคคลาย หรือ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่คงต้องใช้เวลานานนับสิบปีเลยทีเดียว คือ ค่อยเป็นค่อยไป เพราะดาวจันทร์ (๒) เจ้าเรือนวินาศนะ ที่เดินนำหน้าดาวเนปจูน (น) นั่นเอง
          คงไม่ต้องวางลัคนาที่จุดอื่นใด เพราะเนปจูน (น) กุมลัคนาอยู่แล้ว จึงพิจารณาจากจุดนี้ แม้ดาวพฤหัสบดี (๕) เจ้าเรือนปุตตะ จะอยู่ในภพมรณะ แต่ก็ได้รับกระแสที่ดีจากดาวศุภเคราะห์ทุกดวง ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น โรคคลาย หายทุกข์ แบบค่อยเป็นค่อยไปแน่นอน
          ยุคที่ ๑๐ เรียกว่า หายกังวล อยู่ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๗๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๘๒ ดูความหมายแล้ว ดีแน่ๆ คือ หมดทุกข์ หมดโศกกันเสียที ประเทศชาติคงก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง ไม่กระท่อนกระแท่นอีกต่อไป ดาวที่เสวยอายุในช่วงนี้คือ ดาวพลูโต (พ) เจ้าเรือนศุภะ ที่กุมดาวแบคคัส (บ) เจ้าเรือนกัมมะ ดาวพุธ (๔) เจ้าเรือนการเงิน ในภพวินาศนะ แม้ว่าจะอยู่ในภพทุสถานะ แต่ก็ได้รับกระแสที่ดีจากดาวศุภเคราะห์ทุกดวง จึงเชื่อได้ว่า บ้านเมืองคงหายกังวลจริงๆ และจะมีการเปลี่ยนแปลงจากสถานะหนึ่งไปยังสถานะหนึ่ง หากก่อนหน้านั้นมันเลวร้าย ก็จะกลับกลายเป็นดี ตามลักษณะของดาวเนปจูน (น) เจ้าเรือนมรณะที่นำหน้าดาวพลูโต (พ) อยู่
          เมื่อวางลัคนาที่จุดดาวพลูโต (พ) จะทำให้ดาวพลูโต (พ) เป็นดาวเจ้าเรือนกัมมะ และดาวแบคคัส (บ) เป็นดาวเจ้าเรือนลาภะ กุมกับดาวพุธ (๔) ซึ่งจะกลายเป็นดาวเจ้าเรือนสหัชชะ เมื่อได้รับกระแสที่ดีจากดาวศุภเคราะห์ทุกดวง จึงทำให้ การติดต่อกับมิตรประเทศจะบังเกิดผลดี ได้รับความร่วมมือหรือได้ความช่วยเหลืออย่างดีจากนานาประเทศ เพราะดาวเนปจูน (น) ที่นำหน้าดาวพลูโต (พ) นั้น จะกลายเป็นดาวเจ้าเรือนศุภะ ดาวอาทิตย์ (๑) เจ้าเรือนกฎุมพะของพลูโต (พ) แม้จะอยู่ในภพวินาศนะ แต่ก็ได้รับกระแสที่ดีจากดาวศุภเคราะห์ทุกดวง เศรษฐกิจของประเทศชาติดีแน่ และหายกังวลตามที่ท่าน อ.พลูหลวง ได้พยากรณ์ไว้

 

 
 
  
 


 
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น