วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

หนังสือวิจารณ์ดวง ระบบพลูหลวง เล่ม ๑ วางจำหน่ายแล้ว

 
          หนังสือวิจารณ์ดวงชะตา ระบบพลูหลวง เล่ม ๑ เป็นหนังสือประวัติศาสตร์วงการโหรไทย เพราะตั้งแต่ อ.พลูหลวง ได้ออกหนังสือวิจารณ์ดวงชะตา ๒๐๐ ดวง มานานกว่า ๓๐ ปี ก็ยังไม่มีโหราจารย์ท่านใด เขียนหนังสือในแนวนี้ออกมาอีกเลย ดังนั้น จึงเป็นความภาคภูมิใจของผมเป็นอย่างมาก ที่ได้สร้างสรรผลงานชิ้นโบว์แดงชิ้นนี้ไว้ประดับวงการโหร เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้เป็นหนังสือประกอบตำราวิชาโหราศาสตร์ ระบบพลูหลวง ได้เห็นว่า หลักวิชาที่เรียนรู้ไปในหนังสือโหราศาสตร์ ระบบพลูหลวง ทั้ง ๓ เล่มนั้น สามารถนำมาใช้ในการพยากรณ์ หรืออ่านเรื่องราวของบุคคลได้จริงๆ โดยดวงชะตาที่ผมนำมาวิจารณ์ในหนังสือเล่ม ๑ จนถึง เล่ม ๓ นั้น จะมีด้วยกันทั้งสิ้น ๓๐๐ ดวงชะตา แบ่งเป็นเล่มละ ๑๐๐ ดวงชะตา โดยจะคัดเฉพาะดวงชะตาบุคคลที่มีชื่อเสียง บุคคลสำคัญ หรือบุคคลที่สาธารณชนรู้จักเรื่องราวอยู่แล้วนำมาวิเคราะห์วิจารณ์ ถือเป็น "ดวงครู" ที่ดีเยี่ยม ที่นักศึกษาควรจดจำเอาไว้เป็นตัวอย่างในการวิเคราะห์วิจารณ์ดวงชะตา หรืออ่านดวงชะตา ด้วยการเทียบเคียงกับดวงอื่นๆ ที่พบเห็นในชีวิตประจำวันต่อไป

          ขณะนี้ได้วางจำหน่ายตามร้านหนังสือชั้นนำ โดยเฉพาะร้าน "ซีเอ็ดบุ๊คส์" ทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้มีสาขาที่จัดจำหน่ายแล้วทั้งสิ้น ๑๕๐   สาขา และคงจะมีครบทุกสาขาก่อนกลางเดือนเมษายนนี้ แน่นอนครับ

          สาขาที่มีจำหน่ายแล้วในขณะนี้ ตามลิงค์นี้เลยครับ


        หากท่านไปที่ร้านแล้ว หนังสือหมด เพื่อประกันความผิดหวัง ท่านต้องสั่งซื้อ หรือ สั่งจองล่วงหน้านะครับ เพราะแต่ละสาขา คงมีวางจำหน่ายครั้งละไม่กี่เล่มเท่านั้น

        จำหน่ายในราคาเล่มละ ๔๐๐ บาท ครับ

          รายชื่อดวงชะตา ๑๐๐ ดวง ที่นำมาวิจารณ์ ในหนังสือ เล่มที่ ๑

          ๑ พระเจ้าอู่ทอง (กษัตริย์) ๒ พระวรวงษาธิราช (กษัตริย์) ๓ พระมหินทราธิราช (กษัตริย์) ๔ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (กษัตริย์) ๕ เจ้าอนุวงศ์ (กษัตริย์) ๖ พระเจ้าฮิโรฮิโต (กษัตริย์) ๗ พระเจ้าสีป่อ (กษัตริย์) ๘ จักรพรรดิถงจื้อ (กษัตริย์) ๙ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ (กษัตริย์) ๑๐ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ (กษัตริย์) ๑๑ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ (ราชินี) ๑๒ สมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชินี (ราชินี) ๑๓ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ (ราชินี) ๑๔ พระนางคัทรีนมหาราชินี (ราชินี) ๑๕ พระนางซูสีไทเฮา (ราชินี) ๑๖ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (เจ้าฟ้า) ๑๗ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร (เจ้าฟ้า) ๑๘ สมเด็จเจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญา (เจ้าฟ้า) ๑๙ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (เจ้าฟ้า) ๒๐ กรมขุนกษัตรานุชิต (เจ้าฟ้าเหม็น)

          ๒๑ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา(นายกรัฐมนตรี) ๒๒ พระยาพหลพลพยุหเสนา(นายกรัฐมนตรี) ๒๓ จอมพล ป. พิบูลสงคราม (นายกรัฐมนตรี) ๒๔ ปรีดี พนมยงค์ (นายกรัฐมนตรี) ๒๕ จอมพลถนอม กิตติขจร (นายกรัฐมนตรี) ๒๖ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (นายกรัฐมนตรี) ๒๗ ม...คึกฤทธิ์ ปราโมช (นายกรัฐมนตรี) ๒๘ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) ๒๙ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ (นายกรัฐมนตรี) ๓๐ บรรหาร ศิลปะอาชา (นายกรัฐมนตรี) ๓๑ ซัดดัม ฮุสเซน (ประธานาธิบดี) ๓๒ ฮิตเลอร์ (ประธานาธิบดี) ๓๓ เจียง ไคเช็ค (ประธานาธิบดี) ๓๔ จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ (ประธานาธิบดี) ๓๕ มุสโสลินี (ประธานาธิบดี) ๓๖ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (เสนาบดี) ๓๗ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (เสนาบดี) ๓๘ พลเอกเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (เสนาบดี) ๓๙ เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (เสนาบดี) ๔๐ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) (เสนาบดี)

          ๔๑ บิล เกตต์ (เศรษฐี) ๔๒ ห้างทอง ธรรมวัฒนะ (เศรษฐี) ๔๓ เฉลียว อยู่วิทยา (เศรษฐี) ๔๔ วิกรม กรมดิษฐ์ (เศรษฐี) ๔๕ ชัชวาลย์ คงอุดม (เศรษฐี) ๔๖ สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์ (นักแสดง) ๔๗ มิตร ชัยบัญชา (นักแสดง) ๔๘ ล้อต๊อก (นักแสดง) ๔๙ เพชรา เชาวราษฎร์ (นักแสดง) ๕๐ มาลิลีน มอนโร (นักแสดง) ๕๑ ทนงศักดิ์ ภักดีเทวา (นักร้อง) ๕๒ สวลี ผกาพันธ์ (นักร้อง) ๕๓ สุเทพ วงศ์กำแหง (นักร้อง) ๕๔ พร ภิรมย์ (นักร้อง) ๕๕ ยอดรัก สลักใจ (นักร้อง) ๕๖ พล...เผ่า ศรียานนท์ (ตำรวจ) ๕๗ พล...หลวงอดุลย์เดชจรัส (ตำรวจ) ๕๘ พล...ประเสริฐ รุจิรวงศ์ (ตำรวจ) ๕๙ พล...ขุนพันธรักษ์ราชเดช (ตำรวจ) ๖๐ พ...อนันต์ เสนาขันธ์ (ตำรวจ)

          ๖๑ พล...สงัด ชะลออยู่ (ทหาร) ๖๒ จอมพลประภาส จารุเสถียร (ทหาร) ๖๓ พระยากลาโหมราชเสนา (ทองอิน) (ทหาร) ๖๔พล...สมบุญ ระหงส์ (ทหาร) ๖๕ พ..พระยาทรงสุรเดช (ทหาร) ๖๖ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปะบรรเลง) (นักดนตรี) ๖๗พระเจนดุริยางค์ (นักดนตรี) ๖๘ มหาตมะ คานธี (นักต่อสู้ทางการเมือง) ๖๙ นรินทร์ ภาษิต (นักต่อสู้ทางการเมือง) ๗๐ ออง ซาน ซูจี (นักต่อสู้ทางการเมือง) ๗๑ ผาด ทับสายทอง (โจร) ๗๒ ตี๋ใหญ่ (โจร) ๗๓ บุญเพ็ง หีบเหล็ก (นักโทษประหาร) ๗๔ ซีอุย แซ่อึ้ง (นักโทษประหาร) ๗๕ สมณะโพธิรักษ์ (รัก รักพงศ์) (นักบวช) ๗๖ วินัย ละอองสุวรรณ (ยันตระ) (นักบวช) ๗๗ หลวงวิจิตรวาทการ (นักประพันธ์) ๗๘ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (นักประพันธ์) ๗๙ อรวรรณ (นักประพันธ์) ๘๐ ดอกไม้สด (นักประพันธ์)

          ๘๑ โผน กิ่งเพชร (นักมวย) ๘๒ สมรักษ์ คำสิงห์ (นักมวย) ๘๓ อาภัสรา หงสกุล (นางงาม) ๘๔ ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก (นางงาม) ๘๕ สุชีพ ปุญญานุภาพ (บัณฑิต) ๘๖ จำนงค์ ทองประเสริฐ (บัณฑิต) ๘๗ ชำนาญ ยุวบูรณ์ (ผู้ว่า กทม.) ๘๘ ธรรมนูญ เทียนเงิน (ผู้ว่า กทม.) ๘๙ กิตติวุฒโฒ ภิกขุ (พระสงฆ์) ๙๐ ธัมมชโย ภิกขุ (พระสงฆ์) ๙๑ สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (พระสังฆราช) ๙๒ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี (อมตะเถราจารย์) ๙๓ ธัมมวิตักโก ภิกขุ (พระอริยสงฆ์) ๙๔ ครูบาเจ้าศรีวิชัย (นักบุญล้านนาไทย) ๙๕ อ.พลูหลวง (โหราจารย์) ๙๖ พระยาโหราธิบดี (แหยม วัชรโชติ) (โหราจารย์) ๙๗ แจ่มใส ศิลปะอาชา (สตรีผู้สูงศักดิ์) ๙๘ พันธุ์เครือ ยงใจยุทธ (สตรีผู้สูงศักดิ์) ๙๙ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ (รัฐมนตรี) ๑๐๐ เตียง ศิริขันธ์ (รัฐมนตรี)


วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

คำพยากรณ์ดวงเมืองบางกอกในสถานการณ์ปัจจุบัน ของ อ.พลูหลวง

 
คำพยากรณ์ของโหร "พลูหลวง"
อ.พลูหลวง
 

           จากการที่คุณกำแหง ภริตานนท์ ได้โพสข้อความเกี่ยวกับการทำนายดวงบ้านเมืองของท่านอาจารย์พลูหลวง หรือ อาจารย์ประยูร อุลุชาฏะ เอาไว้ในเวปพยากรณ์ดอทคอม แล้วปรากฎผลว่าแม่นยำยิ่งกว่าตาเห็น จึงมีนักศึกษาหลายท่านที่ศึกษาโหราศาสตร์ระบบพลูหลวง ร้องขอให้ผมช่วยชี้แจงแถลงไข ถึงที่มาที่ไปของคำพยากรณ์ ว่าท่านอาจารย์ใช้หลักการในการพิจารณาอย่างไร ผมก็เลยถือโอกาสตอนน้ำท่วมใหญ่ และได้ให้นักศึกษาที่ประสบภัยหยุดเรียน หรือปิดเทอมหนีน้ำชั่วคราว มีเวลามากพอ จึงได้เขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา ซึ่งก่อนอื่นขอนำกระทู้ของคุณกำแหงที่โพสไว้ให้ท่านทราบก่อน โดยคุณกำแหงได้โพสไว้ดังนี้
          อ.พลูหลวง ได้ละสังขารทิ้งร่างไปเมื่อ วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม 2543 แต่ได้ฝากผลงานโดยเฉพาะการทำนายความเป็นไปของบ้านเมืองได้อย่างแม่นยำ ยิ่งกว่าตาเห็น ซึ่งผู้เขียนขอสรุปโดยย่อให้ประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะเยาวชนรุ่นหลังได้รับรู้ จดจำ และมีความภูมิใจในโหราศาสตร์ไทยตามแนว วิทยาศาสตร์ของอาจารย์ไว้ดังนี้

          ประเทศสยามถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นประเทศไทยเมื่อ 24 มิถุนายน 2482 ประกาศเวลา 09.00 น. เมื่อผูกดวงกาลชาตาก็จะมีลัคนาอยู่ที่ราศีกรกฎ (ที่ถูกต้องคือ ราศิสิงห์) อาจารย์ได้วิจารณ์ไว้ว่า...
          "คำว่า สยาม หรือ เสียม เป็นคำที่สำคัญที่สุด เพราะมาควบคู่กับความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรทุกยุคทุกสมัย การเปลี่ยนชื่อประเทศ ซึ่งเท่ากับการทำลายเอกลักษณ์ของชาติ เป็นการฉีกประวัติศาสตร์โดยสิ้นเชิง"
          อ.พลูหลวงได้พยากรณ์ ดวงชะตาการเปลี่ยนชื่อจากสยามมาเป็นไทยไว้ จะเห็นว่าอาจารย์ได้แบ่งออกเป็น 10 ยุคในรอบร้อยปี โดยแต่ละยุคมีอายุ 10 ปี นับแต่มีการเปลี่ยนชื่อประเทศ
                     1. ยุคกาลี ตรงกับช่วง พ.ศ.2482-2492
                     2. มิตรมาเยือน ตรงกับช่วง พ.ศ.2492-2502
                     3. เฉือนดินแดน ตรงกับช่วง พ.ศ.2502-2512
                     4. แสนแค้นกลางเขาควาย ตรงกับช่วง พ.ศ.2512-2522
                     5. ลายเสือครองเมือง ตรงกับช่วง พ.ศ.2522-2532
                     6. ฟูเฟื่องชาวสังคม ตรงกับช่วง พ.ศ.2532-2542
                     7. ชมบุญทรราช ตรงกับช่วง พ.ศ.2542-2552
                     8. ชาติวิปโยค ตรงกับช่วง พ.ศ.2552-2562
                     9. โรคคลาย ตรงกับช่วง พ.ศ.2562-2572
                   10. หายกังวล ตรงกับช่วง พ.ศ.2572-2582
          ผมไม่ได้มีเจตนาจะไปว่าใครเป็นทรราชนะครับ เพียงแต่นำเสนอข้อมูลที่ท่าน อ.พลูหลวง ได้เคยทำนายอนาคตประเทศไทยเอาไว้เท่านั้น ส่วน อ.พลูหลวงจะแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านเองว่า ควรจะเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน เพราะการแสดงความคิดเห็นก็มีทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยเป็นธรรมดาครับ
          แต่สิ่งที่ผมต้องการจะเน้นย้ำความสำคัญ ก็คือคำทำนายที่ว่า ชาติวิปโยค ตรงกับช่วง พ.ศ. 2552-2562 ซึ่งก็มาตรงกับคำทำนายที่ผู้ตั้งกระทู้นี้ ได้นำเสนอคำทำนายของโหรท่านหนึ่งในจังหวัดนครปฐม และมาตรงกับคำทำนายในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์ด้วย
          ถ้าปี พ.ศ. 2560 เป็นปีที่สิ้นสุดเหตุการณ์ 7 ปีกลียุค ซึ่งเป็น 7 ปี แห่งความทุกข์ยากของมวลมนุษยชาติทั้งโลก จริงดังคำทำนายแล้ว กว่าจะมีการฟื้นตัวของธรรมชาติกลับมามีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธัญญาหารต่างๆ อีกครั้ง อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลา 1-2 ปี (โดยได้รับความช่วยเหลือในการฟื้นฟูจากมนุษย์ต่างดาว)
          ดังนั้นช่วงเวลา พ.ศ. 2552-2562 ที่ อ.พลูหลวงได้ทำนายเอาไว้ว่าประเทศไทย (รวมถึงประเทศต่างๆ ทั่วโลก) จะต้องประสบกับความวิปโยคนั้น จึงไม่ใช่สิ่งที่เกินไปจากความเป็นจริงเลยครับ
          ครับ ข้อความข้างต้นไม่ได้อธิบายรายละเอียดของที่มาที่ไป ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผมที่ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ ระบบพลูหลวง หรือเกษตรเรือนเดียว มานานเกือบ ๓๐ ปี เพื่อไขข้อข้องใจให้กับผู้ศึกษา และผู้สนใจในระบบพลูหลวง ได้รับทราบโดยทั่วกัน ส่วนจะเชื่อถือได้แค่ไหน ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคลก็แล้วกัน
          ก่อนอื่นเรามาพูดถึงมูลเหตุที่ จอมพล ป. พิบูลสงครามซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสยามประเทศในวาระแรก คือ ระหว่างวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๔๘๑ ถึง วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๘๗ (๒ สมัย ในช่วงแรก) อันเป็นช่วงที่ท่าน อ.พลูหลวง ได้เรียกว่า ยุคกาลี ว่า มีเหตุผล และความจำเป็นมากเพียงใด ที่จะต้องมีการเปลี่ยนชื่อจาก สยาม มาเป็น ไทย ทั้งๆ ที่ประเทศสยามนั้นเป็นประเทศเก่าแก่มีอยู่ในแผนที่โลก เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกนานมากกว่าพันปี
          คำว่า สยาม มาจากคำว่า เสียม ที่เป็นภาษาจีน คนจีนเรียกคนไทยว่า เสียมนั้ง และเรียกประเทศไทยว่า เสียมก๊ก ต่อมาเพี้ยน หรือออกเสียงเป็นภาษาไทยว่า สยาม (Siam) ฝรั่งต่างชาติ คนทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดี ถือเป็นเอกลักษณ์แสดงความเป็นชาติของชนชาติไทย ถ้าจะว่าด้วยเหตุผลแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเปลี่ยนชื่อด้วยซ้ำ แต่ที่จอมพล ป. กล้าหาญชาญชัยใช้หลักนโยบายเผด็จการทหาร คือ ทุกคนต้องเชื่อผู้นำ ชาติจึงจะพ้นภัย จึงประกาศรัฐนิยมออกมามากมายถึง ๑๒ ฉบับ รวมทั้งการเปลี่ยนชื่อประเทศ สยาม เป็นประเทศไทยด้วย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเพียงเพื่อยกตนขึ้นข่มท่าน คือ ประกาศเป็นนโยบาย ระเบียบข้อบังคับคนในสังคม แทนที่จะประกาศเป็น พระบรมราชโองการ หรือตราเป็นพระราชบัญญัติออกมา เพราะจอมพล ป. คิดอยู่เสมอที่จะ ล้มเจ้า หรือ ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ นั่นเอง รายละเอียดเรื่องนี้ หาอ่านได้จากบทความเรื่อง จอมพล ป. ล้มเจ้า
          รัฐนิยมเป็นนโยบายของรัฐบาลของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เพื่อปลุกระดมความรักชาติและปรับปรุงวัฒนธรรมให้เหมือนอารยประเทศ โดยออกประกาศทั้งหมด ๑๒ ฉบับ และฉบับที่ ๑ ได้ประกาศให้ใช้ชื่อประเทศไทย แทนประเทศสยาม และประชาชน สัญชาติ ก็ใช้คำว่า ไทย แทน สยาม เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๒ โดยมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๔๘๒ โดยให้เหตุผลไว้ในประกาศรัฐนิยม ฉบับที่ ๓ ที่ให้เรียกคนไทยภาคต่างๆ ว่า คนไทย ดังนี้
          เรื่องการเรียกคนในประเทศว่า คนไทย แม้มีเชื้อสายอื่นก็ให้ถือว่ามี สัญชาติไทย มิให้แบ่งแยก เป็นความต่อเนื่องจากรัฐนิยมแบบแรก นั่นคือการเรียกชื่อว่า ไทยเหนือ ไทยอีสาน ไทยใต้ ไทยอิสลาม ให้เรียกว่า ไทย โดยรวมเพื่อขจัดความแตกต่าง ซึ่งกำหนดให้เลิกเรียกชื่อชาวไทยโดยใช้ชื่อไม่ต้องตามเชื้อชาติ และนิยมของผู้เรียก แต่ให้ใช้คำว่า ไทย แก่ชาวไทยทั้งมวลโดยไม่แบ่งแยก ทั้งนี้รัฐบาลมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความเป็นปึกแผ่นดินมั่นคงของประเทศและความกลมเกลียวสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติไทยทั่วทุกภาคของประเทศ กล่าวได้นับว่านับเป็นครั้งแรกที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า ชาวไทยมุสลิม เป็นคนไทยเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไปชนผืนแผ่นดินไทย มีข้อความว่าด้วยรัฐบาลเห็นว่า การเรียกว่าไทย บางส่วนไม่ต้องตามชื่อเชื้อชาติ และความนิยมของผู้ถูกเรียกก็ได้ การเรียกชื่อแบ่งแยกคนไทยออกเป็นหลายพวก หลายเหล่า เช่น ไทยเหนือ ไทยอีสาน ไทยใต้ และไทยอิสลาม ก็ดีไม่สมควรแก่สถานะของประเทศไทย ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะแบ่งแยกมิได้ จึงประกาศไว้ในรัฐนิยมไว้ ดังนี้
          1 ให้เลิกการเรียกชาวไทยโดยใช้ชื่อที่ไม่ต้องตามเชื้อชาติ และความนิยมของผู้เรียก
          2 ให้ใช้คำว่า ไทย แก่ชาวไทยทั้งมวลโดยไม่แบ่งแยก รัฐนิยมฉบับนี้ ซึ่งกำหนดให้เลิกการเรียกชาวไทยโดยใช้ชื่อที่ไม่ต้องตามเชื้อชาติ และความนิยมของผู้ถูกเรียก แต่ให้ใช้คำว่า ไทย แก่ชาวไทยทั้งมวล โดยไม่แบ่งแยก ทั้งนี้โดยรัฐบาลมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของประเทศ และความกลมเกลียวสามัคคี เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชนชาติไทย ทั่วทุกภาคของประเทศ กล่าวได้ว่านับเป็นครั้งแรกที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า ชาวไทยมุสลิมเป็นคนไทยเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไปชนผืนแผ่นดินไทย
          เหตุผลสรุปโดยรวมก็คือ เพื่อความกลมเกลียว เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ โดยไม่มีการแบ่งแยก แล้วผลออกมาเป็นอย่างไร เราท่านก็ทราบกันดีอยู่แล้ว จากวันนั้น จนถึงวันนี้ เราก็ยังแบ่งแยกกันอยู่ เรายังมีไทยเหนือ ไทยอีสาน ไทยใต้ ไทยกลาง กันเหมือนเดิม ภาษาแต่ละท้องถิ่นก็ยังคงเดิม วัฒนธรรมท้องถิ่นก็เหมือนเดิม คือ ยังมีความแตกต่างเหมือนเดิม แม้แต่ศาสนาก็เถอะ มีทั้ง ไทยพุทธ ไทยคริสต์ ไทยมุสลิม ดังนั้น การใช้ชื่อ สยาม คงเดิม หรือใช้ ไทย ก็ไม่ได้มีเหตุเพียงพอในการเปลี่ยนชื่อประเทศ เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนสัญชาติของคนไทย
          การประกาศรัฐนิยมฉบับอื่นๆ ของจอมพล ป. ก็เช่นกัน เจตนาที่แท้จริงนั้นทำเพื่อ ยกตนข่มท่าน หรือ แสดงอำนาจบาตรใหญ่ ของการเป็นผู้นำเผด็จการเท่านั้น ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของเหตุผล และการยอมรับของคนทั้งประเทศ ไม่ได้ตราเป็นพระราชบัญญัติ หรือกฎหมายเหมือนกับกฎหมายอื่นๆ เพราะต้องการริดรอนอำนาจ หรืออิทธิพลของผู้ที่นิยมเจ้า และต้องการให้ไทยกลับมามีการปกครองแบบเดิม (โดยเราจะเห็นได้ว่ามีการยกเลิกรัฐนิยมหลายฉบับในเวลาต่อมา) ถือเป็นการทำลายดวงเมืองบางกอก ที่พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ได้สถาปนาเอาไว้ จึงส่งผลเสียอย่างร้ายแรงแก่คนไทยตามมา และจะมีอิทธิพลต่อเนื่องกันไป จนกว่าจะสิ้นสุดราชวงศ์จักรี หรือไม่ก็กลับมาใช้ชื่อ สยาม อย่างเดิม
          ทีนี้เราจะมาวิเคราะห์คำพยากรณ์ ๑๐ ยุคๆ ละ ๑๐ ปี ที่ท่านอาจารย์พลูหลวงได้พยากรณ์ไว้ จะเรียกว่าพยากรณ์ทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะท่านได้ประมวลเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น นับแต่มีการเปลี่ยนชื่อประเทศ ประกอบกับกาลชะตาที่ผูกขึ้น เมื่อจับทางของดวงดาวได้ ท่านจึงได้พยากรณ์ออกมา ถ้าจะนับในเรื่องของการพยากรณ์จริงๆ ก็จะอยู่ในข้อที่ ๗, ๘, ๙ และ ๑๐ เท่านั้น เพราะท่านได้จากโลกนี้ไปก่อนที่เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้น
 
 
           ยุคที่ ๑ เรียกว่า ยุคกาลี อยู่ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ถึง พ.ศ. ๒๔๙๒ เมื่อผูกดวงชะตาวันที่มีการประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศนั้น จะเห็นว่า ลัคนาของดวงเปลี่ยนชื่อประเทศ อยู่ที่ ราศีสิงห์ อันเป็นที่ตั้งของลัคนาประเทศไทยพอดี โดยเราจะเห็นได้ว่า มีดาวบาปเคราะห์ร้าย และดาวที่ให้โทษเบียนลัคนาอย่างรุนแรงถึง ๘ ดวง กล่าวคือ มีดาวเนปจูน (น) ประธานบาปเคราะห์ เจ้าเรือนมรณะกุมลัคนา ดาวจันทร์ (๒) เจ้าเรือนวินาศนะ บีบหน้า, ดาวพลูโต (พ) บีบหลัง ดาวอังคาร (๓) ดาวฆาต ทำมุมปลายหอกทิ่มแทง, ดาวราหู (๘) กับ เกตุ (๙) หัวหางรวมกันโยคหน้า ดาวเสาร์ (๗) นิจ เจ้าเรือนอริ และดาวมฤตยู (๐) จรทำมุมตรีโกณ
          ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนชื่อประเทศในวันดังกล่าว จึงส่งผลร้ายมากกว่าผลดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะ ๑๐ ปีแรก ของการเปลี่ยนชื่อ ที่ อ.พลูหลวง เรียกว่า ยุคกาลี นั้น ท่านพิจารณาจาก ดาวอาทิตย์ (๑) เจ้าเรือนลัคนา ที่เสวยอายุ ซึ่งอยู่ในภพลาภะของดวงเปลี่ยนชื่อ ถ้ามองเผินๆ หรือหยาบๆ ก็น่าจะส่งผลดี แต่ที่ส่งผลร้าย เนื่องจาก ดาวอาทิตย์ (๑) ถูกบาปเคราะห์ร้าย และดาวที่ให้โทษ เบียนไม่น้อยไปกว่าลัคนาด้วยเช่นกัน กล่าวคือ
          มีดาวพลูโต (พ) นำหน้า ดาวเนปจูน (น) มรณะโยคหน้า, ดาวจันทร์ (๒) วินาศนะ กากบาท, ดาวราหู (๘) เกตุ (๙) ตรีโกณ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า ดาวบาปเคราะห์ และดาวร้ายพาดผ่านนำหน้าเป็นขบวน นอกจากนั่น ยังมี ดาวอังคาร (๓) ทำมุมปลายหอก  และ ดาวเสาร์ (๗) ดาวมฤตยู (๐) โยคหลัง ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดเรื่องร้ายๆ แก่ประเทศไทยอย่างมากมาย ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ถึง ๒๔๙๒ กล่าวคือ
          เกิดสงครามอินโดจีน หรือ สงครามระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. ๒๔๘๓, เกิดสงครามโลก ครั้งที่ ๒ หรือ สงครามมหาเอเซียบูรพา ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๘, เกิดคดีลอบปลงพระชนม์ ร.๘ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ อันเป็นที่สะเทือนขวัญประชาชนอย่างมาก, เกิดกบฏต่างๆ มากมาย เช่น กบฏพระยาทรงสุรเดช หรือกบฏ ๑๘ ศพ (๒๔๘๑), กบฏเสนาธิการ (๒๔๙๑) กบฏแบ่งแยกดินแดน (๒๔๙๑), กบฏวังหลวง (๒๔๙๒), มีการฆ่าโหด และสังหาร ๔ รัฐมนตรี และกำจัดนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ฯลฯ
          จะเห็นว่าบ้านเมืองในช่วงดังกล่าวมีแต่เรื่องร้ายๆ เข้ามาแทบทุกปี ประเทศชาติไม่มีความสงบสุข ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากภัยสงคราม จากการกดขี่ของผู้มีอำนาจ จากภัยเศรษฐกิจ ฯลฯ ประเทศชาติไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แม้สถาบันพระมหากษัตริย์ยังถูกคุกคาม อย่างนี้ไม่เรียกยุคกาลี หรือกลียุค ซึ่งแปลว่า ยุคแห่งความชั่วร้าย แล้วจะให้เรียกว่าอย่างไร
          ยุคที่ ๒ เรียกว่า มิตรมาเยือน อยู่ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๒ (นับจากวันที่ ๒๔ มิถุนายน) ถึง พ.ศ. ๒๕๐๒ (จนถึงวันที่ ๒๓ มิถุนายน) ในช่วงดังกล่าว ดาวเสวยอายุ ในระบบพลูหลวง คือ ดาวพุธ (๔) เจ้าเรือนกฎุมพะ หมายถึง การเงิน การติดต่อสื่อสาร การเดินทาง ฯลฯ ซึ่งอยู่ในภพวินาศนะ จะเห็นได้ว่า ดาวพุธ (๔) แม้จะอยู่ในภพทุสถานะ แต่ก็ได้รับอิทธิพลที่ดีจากดาวศุภเคราะห์ ทำมุมให้คุณทุกดวง กล่าวคือ มีดาวแบคคัส (บ) กุม ดาวอาทิตย์ (๑) ปิดทองหลังพระ, ดาวศุกร์ (๖) โยคหลัง ดาวจันทร์ (๒) โยคหน้า และดาวพฤหัสบดี (๕) ตรีโกณ จึงส่งผลให้ไทยเรา มีการติดต่อสื่อสารกับมิตรประเทศอย่างกว้างขวาง เป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติมากขึ้น เพราะกลับกลายสถานะจากประเทศผู้พ่ายแพ้สงคราม มาเป็นประเทศผู้ชนะสงคราม ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกสหประชาชาติ มีประเทศต่างๆ เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี ก่อตั้งสถานทูตในไทยอย่างมากมาย โดยเราจะเห็นได้ว่า ในจุดที่ดาวพุธ (๔) อยู่นั้น มีดาวแบคคัส (บ) เจ้าเรือนการงาน และ ดาวพลูโต (พ) เจ้าเรือนภพศุภะ อันหมายถึง เกียรติยศชื่อเสียง ความดีงาม การต่างประเทศ ฯลฯ รวมอยู่ด้วย จึงได้รับอิทธิพลจากดาวศุภเคราะห์ทุกดวงด้วยเช่นกัน
          ยุคที่ ๓ เรียกว่า เฉือนดินแดน ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๒ ดาวที่เสวยอายุคือ ดาวศุกร์ (๖) เจ้าเรือนสหัชชะที่อยู่ในภพกัมมะ ในพื้นดวงเปลี่ยนชื่อ แม้ศุกร์ (๖) จะได้รับกระแสที่ดีจากดาวศุภเคราะห์ทุกดวงก็ตาม แต่ดาวศุกร์ (๖) ก็ถูกเบียนจากดาวบาปเคราะห์ และดาวที่ให้โทษอย่างยับเยิน คือ ต้องกระแสดาวอังคาร (๓) ดาวฆาต และดาวจันทร์ (๒) เจ้าเรือนวินาศนะที่ทำมุมถึงทั้งสองจุด เมื่อวางลัคนาในจุดของดาวศุกร์ (๖) จะพบว่า ดาวเนปจูน (น) มรณะวัฏฏจักร ประธานบาปเคราะห์ เจ้าเรือนวินาศนะโลกธรรม อยู่ในเรือนอาทิตย์ (๑) ซึ่งเป็นดาวเจ้าเรือนพันธุของดาวศุกร์ (๖)  และดาวอาทิตย์ (๑) เจ้าเรือนพันธุดาวศุกร์ หมายถึง บ้านเรือนที่อยู่อาศัย รวมทั้งผืนแผ่นดินไทย ฯลฯ ก็ถูกเบียนอย่างหนัก ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ดังนั้น คำว่า เฉือนดินแดน ในที่นี้ อ.พลูหลวง คงหมายถึง การสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารให้แก่เขมร ตามคำพิพากษาของศาลโลก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ และการเกิดมหาวาตภัยที่แหลมตะลุมพุก ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ สร้างความสูญเสียแก่บ้านเรือน ชีวิตผู้คนอย่างมากมายนั่นเอง
          ยุคที่ ๔ เรียกว่า ยุคแสนแค้นกลางเขาควาย อยู่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๒ ดาวที่เสวยอายุในยุคนี้ คือ ดาวจันทร์ (๒) เจ้าเรือนวินาศนะ ที่นำหน้าลัคนาในภพกฎุมพะ (วินาศนะ-กฎุมพะ แปลว่า ทรัพย์สินสูญหาย หรือถูกทำลายอย่างไม่รู้ตัว หรือไม่คาดคิด) คำว่า แสนแค้น คนที่แค้นก็คือ คนไทย ส่วนคำว่า กลางเขาควาย ก็คือ การทำสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกา ยักษ์ใหญ่ค่ายเสรีนิยม และประเทศในโลกเสรีอีก ๗ ประเทศ (รวมทั้งไทยด้วย) กับ จีนแดง และรัสเซีย ยักษ์ใหญ่แห่งค่ายคอมมูนิสต์ ใน สงครามเวียดนาม ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ไปสิ้นสุดด้วยความพ่ายแพ้ของอเมริกาในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ทำให้เวียดนามใต้กลายเป็นคอมมูนิสต์ และรวมกับเวียดนามเหนือ เป็น เวียดนาม เดียวกันจนกระทั่งทุกวันนี้
          เหตุที่ไทยต้องไปอยู่ท่ามกลางเขาควาย เนื่องจากสหรัฐอเมริกาได้ขอความร่วมมือจากไทยใช้สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งตั้งอยู่ในเขตติดต่อของจังหวัดระยอง และชลบุรี เป็นฐานทัพในการต่อสู้กับฝ่ายคอมมูนิสต์ ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศฝ่ายเสรี ทีนี้พอสิ้นสุดสงคราม อเมริกาต้องถอนทัพกลับไป แทนที่จะไปมือเปล่า กลับขนเอาทรัพย์สมบัติของชาติทั้งเล็ก และใหญ่ เช่น ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์, มงกุฎทองคำสมัยอยุธยา, พระพุทธรูปเก่าแก่สมัยเชียงแสน อู่ทอง สุโขทัย ลพบุรี ฯลฯ และโบราณวัตถุอีกมากมายกลับไปด้วย อีกทั้งยังสร้างปัญหาสังคมให้แก่คนในชาติ ด้วยการไข่ทิ้ง ข้าวนอกนา เอาไว้เป็นภาระสังคมอย่างมากมาย อย่างนี้ไม่ให้ไทยแสนแค้นท่ามกลางเขาควายได้อย่างไร
          เมื่อวางลัคนาในจุดของดาวจันทร์ (๒) จะพบว่า มีดาวอังคาร (๓) ดาวฆาต เจ้าเรือนสหัชชะจากจุดนี้ และดาวศุกร์ (๖) เจ้าเรือนการเงิน ทรัพย์สมบัติ ของล้ำค่า ตรีโกณถึงกันและกันอยู่ จึงส่งผลให้ทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า อันเป็นมรดกของชาติไทย ต้องสูญหายอย่างที่ไม่มีใครล่วงรู้ คาดคิด คาดฝันมาก่อนว่า มิตรประเทศอย่างอเมริกา จะทำกับไทยได้
          ยุคที่ ๕ เรียกว่า ยุคลายเสือครองเมือง อยู่ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๓๒ ดาวที่เสวยอายุในช่วงนี้คือ ดาวอังคาร (๓) มหาอุจ ดาวแห่งการทหาร เจ้าเรือนพันธุ ที่อยู่ในภพอริ ยุคนี้เป็นยุคทหารครองเมือง เพราะคำว่า ลายเสือ ก็คือ ลายเสื้อทหาร (ชุดพราง) หรือชุดทหารพราน หรือเสือพราน นั่นเอง
          ยุคดังกล่าวแม้จะเป็นประชาธิปไตย แต่ก็เป็นได้แค่ครึ่งใบ ไม่เต็มใบ หรือบางทีไม่เหลือซักใบ เพราะทหารอาศัยช่องว่างของรัฐธรรมนูญที่เปิดโอกาสให้ คนนอก หรือ คนที่ไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง และ ผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเลือกจากสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ในยุคดังกล่าว เรามีนายกรัฐมนตรีที่มาจากทหารด้วยกัน ๒ คน คือ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๒ เป็นสมัยที่สองของท่าน โดยท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๐
          อีกท่านหนึ่งเราท่านรู้จักกันดีก็คือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ หรือ ป๋าเปรม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องยาวนาน ติดต่อกัน ๓ สมัย ระหว่างวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๒๓ ถึงวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๓๑ จนต้องเอ่ยวาจาว่า ผมพอแล้ว ทำให้เปิดทางให้นักการเมืองอย่าง พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ หรือ น้าชาติ มาดนักซิ่ง ได้มีโอกาสบริหารประเทศแค่ ๒ ปี จนนำไปสู่การทำรัฐประหารของกลุ่มผู้ก่อการ อันได้แก่ พลเอกสุจินดา คราประยูร, พลเอกอิสระพงษ์ หนุนภักดี พลอากาศเอกเกษตร โรจนนิล ฯลฯ ภายใต้การนำ หรือถูกนำมาเป็นหุ่นเชิดของ พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น
          เมื่อเราวางลัคนาที่ตำแหน่งดาวอังคาร (๓) มหาอุจ จะเห็นว่าได้รับกระแสที่ดีจากดาวศุภเคราะห์เกือบทุกดวง (ยกเว้นอาทิตย์ คู่ศัตรู) แต่ดาวอังคาร (๓) ก็ถูกดาวบาปเคราะห์เบียนอย่างหนักทุกดวงด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่า ดาวมฤตยู (๐) ดาวแห่งการรัฐประหาร มีดาวอังคาร (๓) มหาอุจ ดาวทหารเป็นสิบ ในช่วงดังกล่าว จึงมีการทำรัฐประหารเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพลเอกเปรมถึง ๒ ครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะดาวมฤตยู (๐) ถูกเบียนอย่างยับเยิน ในทางตรงกันข้าม จะเห็นว่า ดาวอังคาร (๓) มหาอุจ นั่นเป็นดาวเจ้าเรือนลาภะ จะส่งผลให้กับใครก็ตามที่เข้ากับทหาร หรือเป็นพวกผู้นำทหารก็มักจะได้ดี จึงมีนักการเมืองนักกินเมืองทั้งหลาย ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าสนับสนุนผู้นำทหารให้เป็นใหญ่ ภายใต้การปกครองประชาธิปไตยเผด็จการทหารแบบไทยๆ
          ยุคที่ ๖ เรียกว่า ยุคฟูเฟื่องชาวสังคม อยู่ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดาวที่เสวยอายุในช่วงนี้คือ ดาวพฤหัสบดี (๕) เจ้าเรือนปุตตะ ที่อยู่ในภพมรณะ แม้จะมีดาวศุภเคราะห์ทำมุมให้คุณทุกดวง แต่ก็ถูกบาปเคราะห์เบียนอย่างหนักทุกดวงเช่นกัน จึงส่งผลในช่วงดังกล่าว ได้มีการทำการรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง (รัฐบาลน้าชาติ) และมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นทหารอีก ๑ ท่าน คือ พลเอกสุจินดา คราประยูร เจ้าของวาจาสง่างามคงความเป็นอมตะจนทุกวันนี้ว่า เสียสัตย์เพื่อชาติ นายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือดในเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ต้นเหตุที่ทำให้ ส.ส. แบ่งเป็น ๒ พวก คือ ฝ่ายเทพ ที่ไม่สนับสนุนทหาร และ ฝ่ายมาร ที่สนับสนุนทหาร
          จะว่าไปแล้วในยุคดังกล่าวนี้ นับเป็นยุคที่การติดต่อสื่อสารเริ่มก้าวหน้า พัฒนาขึ้น จากวิทยุมือถือ เป็นโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ การติดต่อสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตเริ่มได้รับความนิยม ม็อบที่ต่อต้านรัฐบาลนำเอาวิทยุมือถือเข้ามาใช้ จนสื่อตั้งชื่อว่า ม็อบมือถือ ด้วยเหตุนี้กระมัง ท่าน อ.พลูหลวง จึงเรียกยุคนี้ว่า ยุคฟูเฟื่องชาวสังคม คือ คนไทยในยุคดังกล่าว รับเอาวิทยาการใหม่ๆ สินค้าใหม่ แฟชั่นใหม่ๆ เข้ามาอย่างมากมาย โลกมีการพัฒนาถึงกับเรียกว่า ยุคโลกาภิวัฒน์ ก็เริ่มเกิดขึ้นในยุคนี้น่ะแหละ
          เมื่อวางลัคนาในจุดดาวพฤหัสบดี (๕) ที่ราศีมีน จะเห็นว่า ดาวมฤตยู (๐) ดาวเจ้าเรือนวินาศนะ หมายถึง การอยู่ในที่เร้นลับ ห่างไกล และยังหมายถึง เทคโนโลยีใหม่ๆ รวมไปถึงอินเทอร์เน็ต กุมดาวเสาร์ (๗) เจ้าเรือนลาภะ อันหมายถึงเพื่อนสนิท ลาภผล ความพึงพอใจ นำหน้าอยู่ในภพกฎุมพะ อันหมายถึง การติตต่อสื่อสาร  สมาคม ฯลฯ ได้รับกระแสที่ดีจากดาวศุภเคราะห์เกือบทุกดวง เว้นดาวจันทร์ (๒) จึงส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการของสังคม ในด้านการติดต่อสื่อสารครั้งใหญ่ มือถือ คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต ฯลฯ ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในยุคดังกล่าว และมีอิทธิพลต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ (การติอต่อกันทางเน็ต ไม่เห็นตัวตนกันจริงๆ ปิดบังซ่อนเร้น ไม่จริงใจ และอยู่ห่างไกลกัน เป็นการติดต่อสื่อสารที่เข้าข่าย วินาศนะ-กฎุมพะ)
          ยุคที่ ๗ ท่าน อ.พลูหลวง เรียกว่า ชมบุญทรราช นับแต่ยุคนี้เป็นต้นไป ต้องถือว่าเป็นคำพยากรณ์ของ อ.พลูหลวง อย่างแท้จริง เพราะตัวท่านไม่ได้อยู่ชมบุญทรราชย์กับใครเขา เราท่านจึงไม่รู้ว่า ทรราช คนดังกล่าว ท่านหมายถึงใคร ยุคดังกล่าวอยู่ในช่วงระหว่าง ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๕๒ ใครกันนะ ที่ปกครองประเทศในช่วงนี้ แล้วกระทำการถึงขั้นที่ต้องเรียกว่า ทรราช
          ก่อนอื่นมาตีความหมายของคำว่า ทรราช กันก่อนดีไหม ตามศัพท์แล้ว คำนี้ หมายถึง กษัตริย์ที่ลุแก่อำนาจ ไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม กดขี่ข่มเหง รังแกประชาชน เข่นฆ่าประชาชน ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ซึ่งน่าจะรวมไปถึง การทำให้ประเทศชาติประสบภัยพิบัติฉิบหายในด้านต่างๆ อีกด้วย
          แต่ในยุคปัจจุบันที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาล ทำการบริหารประเทศ ปกครองคนไทยทั้งประเทศ หากนายกรัฐมนตรีท่านใด มีพฤติกรรมดังกล่าว คนนั้นแหละ ทรราชย์ ซึ่งในประวัติศาสตร์ผู้ที่ถูกเรียกขานว่า ทรราช ได้แก่ จอมพลถนอม กิตติขจร, จอมพลประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร จากเหตุการณ์เข่นฆ่าประชาชน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
          ผมคงไม่อาจหาญระบุลงไปว่าใครเป็นทรราชในยุคนี้ และคงเขียนได้แค่นี้แหละครับ ไผเป็นไผ ก็รู้ๆ กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในประวัติศาสตร์ชาติไทย ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง และหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไปหาคำตอบในใจกันเอาเอง
          ในยุคนี้ ดาวที่เสวยอายุคือ ดาวเสาร์ (๗) ตัวทุกข์โทษ เจ้าเรือนอริ ที่อยู่ในภพศุภะ เมื่อวางลัคนาที่จุดนี้ จะเห็นว่า ดาวเสาร์ (๗) มาจากเรือนกัมมะ กุมกับดาวมฤตยู (๐) ที่มาจากเรือนลาภะ มองเผินๆ ดูเหมือนว่าจะดี เพราะทั้งสองได้รับกระแสที่ดีจากดาวศุภเคราะห์เกือบทุกดวง เว้นดาวจันทร์ (๒) แต่ที่เสียก็คือ ต้องกระแสดาวมรณะถึง ๒ ดวง คือ ดาวเนปจูน (น) เจ้าเรือนมรณะ ตรีโกณ และ ดาวอังคาร (๓) เป็นสิบ จึงทำให้เรื่องที่มองภายนอกเหมือนจะดี แต่มองลึกลงไป กลับส่งผลเลวร้ายตามมาในภายหลัง
          จากจุดราศีเมษ ที่มีดาวเสาร์ (๗) อยู่นั้น ดาวอาทิตย์ (๑) จะเป็นดาวเจ้าเรือนปุตตะ อยู่ในภพสหัชชะ ส่งผลให้ผู้นำในยุคนี้ ให้ความสำคัญแก่ผู้อยู่ใต้การปกครองอย่างมาก โดยเฉพาะพวกรากหญ้า แต่ก็นั่นแหละ ดาวอาทิตย์ (๑) ถูกเบียนอย่างมาก ในที่สุด คนที่ได้รับผลร้าย ผลเสียตามมาก็คือ ประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองนั่นเอง
          ปุตตะ ในทีนี้หมายถึง พสกนิกรชาวไทย ที่อยู่ภายใต้การปกครองของ ทรราช น่ะแหละ เมื่อวางลัคนาที่ดาวเสาร์ (๗) ตัวทุกข์โทษที่ราศีเมษ จะเห็นว่า มีดาวมฤตยู (๐) เจ้าเรือนลาภะ เกาะกุม ลาภผลที่ได้มาจึงเป็นลาภทุกข์ คือ มีลาภแล้วมีทุกข์ ส่งผลให้ชาวไทยในช่วงปีดังกล่าวที่ผ่านมาแล้ว ดูเผินๆ เหมือนว่ากินดี อยู่ดี มีความสุข อยากได้อะไรก็หามาได้ง่ายๆ แต่นั่นหมายถึง หลายคนต้องเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว จากโครงการเอื้ออาทรต่างๆ ที่สนับสนุนการเป็นหนี้ส่วนบุคคล แถมยังต้องเป็นหนี้ต่างชาติ จากการกู้ยืมของรัฐบาลในช่วงปลายยุคอีกต่างหาก
          ในปลายยุคดังกล่าว (ก่อนวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๒)  มีนายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือดอีก ๑ คน คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากการชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลของกลุ่มคนเสื้อแดง จนนำมาสู่การเข่นฆ่าประชาชน เผาบ้าน เผาเมือง ฯลฯ หลังจากที่ก่อนหน้านั้น ในรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ต่อเนื่องมายังรัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่มีการบุกยึดทำเนียบรัฐบาล มีการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ของกลุ่มเสื้อเหลือง เรียกยุคนี้ว่า ชมบุญทรราช ก็เพราะทำลายชาติบ้านเมือง เข่นฆ่าประชาชน นั่นเอง อ้อ ลืมบอกไป ทรราชย์ในที่นี้ อาจหมายถึง ผู้นำม็อบสีต่างๆ ที่พาคนมาตาย และเป็นต้นเหตุแห่งหายนะทั้งหลายทั้งปวงของประเทศชาติด้วยครับ
          ยุคที่ ๘ ท่านเรียกว่า ยุคชาติวิปโยค อยู่ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๒ เป็นคำพยากรณ์ที่เกิดขึ้นจริง ในขณะที่ผมกำลังเขียนบทความนี้ และเราท่านกำลังประสบอยู่ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คือ มีการสูญเสียบุคคลสำคัญของประเทศ การสูญเสียเฮลิคอปเตอร์ อันเป็นทรัพย์สินของทางราชการ การสูญเสียชีวิตของนักบินกองทัพบกถึง ๖ คน, การสูญเสียไร่นาสาโท สัตว์เลี้ยง ภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม เสียหายอย่างหนัก ทรัพย์สิน ชีวิตผู้คน ฯลฯ ต้องสูญสิ้นไป จากภัยน้ำท่วมใหญ่ นี่แค่เริ่มต้นยุคก็เจอจังๆ เข้าแล้ว และถ้าผมถามว่าจะเกิดขึ้นอีกไหม จากการที่ผมได้พิจารณาดวงบ้านดวงเมืองแล้ว ชาวไทย คนไทย ประเทศไทย จะต้องสูญเสีย หรือพบกับความวิบัติฉิบหาย จะต้องพบกับความวิปโยค ในเรื่องต่างๆ แทบทุกด้านอีกมากมายอย่างแน่นอน จนกว่าจะสิ้นสุดยุคนี้ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ น่ะแหละ
          ในยุคดังกล่าว ดาวที่เสวยอายุ คือ ดาวมฤตยู (๐) เจ้าเรือนปัตนิ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงคู่ครองนะครับ แต่หมายถึง ศัตรูที่มาทำลายล้าง อยู่ในภพศุภะ มีดาวเสาร์ (๗) ตัวทุกข์โทษ เจ้าเรือนอริ กุม มีดาวเนปจูน (น) เจ้าเรือนมรณะ ตรีโกณ และดาวอังคาร (๓) ดาวฆาต เป็นสิบ เรียกว่าต้องกระแสดาวมรณะด้วยกันถึง ๒ จุด
          จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ ว่า ทำไม คนไทยจึงต้องพบกับการพลัดพราก สูญเสียอย่างมากมายเช่นนี้ โดยเฉพาะภัยพิบัติที่มาจากน้ำ เนื่องจาก ดาวเนปจูน (น) เป็นดาวธาตุน้ำในทะเล หรือมหาสมุทรซึ่งเปรียบได้กับ น้ำหลากทุ่ง ที่ไม่ได้ไหลมาตามแม่น้ำลำคลอง กระจัดกระจายยากแก่การควบคุม อันเป็นผลมาจากน้ำฝนที่ตกลงมาในแอ่งน้ำ หรือในเขื่อนกั้นน้ำที่มีปริมาณมาก โดยไม่มีใครคาดคิดคาดฝัน นั่นหมายถึง ดาวจันทร์ (๒) เจ้าเรือนวินาศนะที่นำหน้าลัคนา และดาวเนปจูน (น) ในภพกฏุมพะ (การติดต่อสื่อสาร การเงิน ทรัพย์สิน เสียหายมาก)
          ดาวเนปจูน หรือ เจ้าเรือนวินาศนะโลกธรรม อันเป็นดาวเจ้าเรือนวินาศนะของมฤตยู (๐)อีกด้วย แปลว่า ไม่คาดคิดคาดฝัน ค่อยๆ แทรกซึม บ่อนทำลายอย่างช้าๆ เลือดเย็น และยังมีดาวอังคาร (๓) มหาอุจ ที่แปลว่า ยิ่งใหญ่ รุนแรง ดาวแห่งแม่น้ำลำคลอง ที่อยู่ในภพกัมมะ หรือ เป็นสิบ อีกทั้งยังทำมุมตรีโกณถึงดาวจันทร์ (๒) น้ำในเขี่อน หรือแอ่งน้ำ ดาวพันธุโลกธรรม หมายถึง บ้านเรือน ที่อยู่อาศัย เรือกสวน ไร่นา รถยนต์ ยานพาหนะ ฯลฯ ทำให้น้ำในแม่น้ำลำคลองมีปัญหาอุปสรรค เอ่อล้นท่วมท้นทำลายบ้านเรือนของประชาชนคนไทย รถยนต์ ยานพาหนะ ฯลฯ ตามลักษณะของดาวอังคาร (๓) ตัวทำลายล้าง
            ยุคที่ ๙ เรียกว่า ยุคโรคคลาย อยู่ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๗๒ ดูความหมายแล้ว แสดงว่า ดีแน่ๆ คนที่ป่วยหนัก อาการของโรคก็คงจะคลี่คลายลง ดาวที่เสวยอายุในช่วงนี้คือ ดาวเนปจูน (น) เจ้าเรือนมรณะ ที่กุมลัคนาอยู่ ถ้าคนที่ไม่ได้ศึกษาความหมายถึงดาวมรณะอย่างถ่องแท้ ต้องทายว่าร้าย เพราะเข้าใจว่า มรณะ คือ ตัวทำลายล้าง ความตาย แต่แท้ที่จริงแล้ว คำว่า มรณะ นั้น ยังหมายถึง การเปลี่ยนแปลงจากสถานะหนึ่ง ไปยังสถานะหนึ่ง จากร้ากลายเป็นดี หรือ จากดีกลายเป็นร้ายก็ได้ เมื่อบ้านเมืองก่อนหน้านั้น เจอภัยพิบัติ ชาติวิปโยค ดังนั้น ยุคต่อมา ก็น่าจะส่งผลดี อาจารย์พลูหลวงท่านจึงเชื่อว่าเป็นยุคโรคคลาย หรือ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่คงต้องใช้เวลานานนับสิบปีเลยทีเดียว คือ ค่อยเป็นค่อยไป เพราะดาวจันทร์ (๒) เจ้าเรือนวินาศนะ ที่เดินนำหน้าดาวเนปจูน (น) นั่นเอง
          คงไม่ต้องวางลัคนาที่จุดอื่นใด เพราะเนปจูน (น) กุมลัคนาอยู่แล้ว จึงพิจารณาจากจุดนี้ แม้ดาวพฤหัสบดี (๕) เจ้าเรือนปุตตะ จะอยู่ในภพมรณะ แต่ก็ได้รับกระแสที่ดีจากดาวศุภเคราะห์ทุกดวง ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น โรคคลาย หายทุกข์ แบบค่อยเป็นค่อยไปแน่นอน
          ยุคที่ ๑๐ เรียกว่า หายกังวล อยู่ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๗๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๘๒ ดูความหมายแล้ว ดีแน่ๆ คือ หมดทุกข์ หมดโศกกันเสียที ประเทศชาติคงก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง ไม่กระท่อนกระแท่นอีกต่อไป ดาวที่เสวยอายุในช่วงนี้คือ ดาวพลูโต (พ) เจ้าเรือนศุภะ ที่กุมดาวแบคคัส (บ) เจ้าเรือนกัมมะ ดาวพุธ (๔) เจ้าเรือนการเงิน ในภพวินาศนะ แม้ว่าจะอยู่ในภพทุสถานะ แต่ก็ได้รับกระแสที่ดีจากดาวศุภเคราะห์ทุกดวง จึงเชื่อได้ว่า บ้านเมืองคงหายกังวลจริงๆ และจะมีการเปลี่ยนแปลงจากสถานะหนึ่งไปยังสถานะหนึ่ง หากก่อนหน้านั้นมันเลวร้าย ก็จะกลับกลายเป็นดี ตามลักษณะของดาวเนปจูน (น) เจ้าเรือนมรณะที่นำหน้าดาวพลูโต (พ) อยู่
          เมื่อวางลัคนาที่จุดดาวพลูโต (พ) จะทำให้ดาวพลูโต (พ) เป็นดาวเจ้าเรือนกัมมะ และดาวแบคคัส (บ) เป็นดาวเจ้าเรือนลาภะ กุมกับดาวพุธ (๔) ซึ่งจะกลายเป็นดาวเจ้าเรือนสหัชชะ เมื่อได้รับกระแสที่ดีจากดาวศุภเคราะห์ทุกดวง จึงทำให้ การติดต่อกับมิตรประเทศจะบังเกิดผลดี ได้รับความร่วมมือหรือได้ความช่วยเหลืออย่างดีจากนานาประเทศ เพราะดาวเนปจูน (น) ที่นำหน้าดาวพลูโต (พ) นั้น จะกลายเป็นดาวเจ้าเรือนศุภะ ดาวอาทิตย์ (๑) เจ้าเรือนกฎุมพะของพลูโต (พ) แม้จะอยู่ในภพวินาศนะ แต่ก็ได้รับกระแสที่ดีจากดาวศุภเคราะห์ทุกดวง เศรษฐกิจของประเทศชาติดีแน่ และหายกังวลตามที่ท่าน อ.พลูหลวง ได้พยากรณ์ไว้

 

 
 
  
 


 
 
 

วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557

กฎเกณฑ์การพิจารณาดวงชะตา ระบบพลูหลวง



รูปลักษณ์ของจักรราศี


          ราศี แปลว่า กลุ่มดาว ในที่นี้คือ กลุ่มดาว ๑๒ นักษัตร์ นำมาใช้ในการพยากรณ์ทางด้านโหราศาสตร์ มีด้วยกัน ๑๒ กลุ่ม หรือ ๑๒ ราศี แยกตามธาตุ ดังนี้
                     ราศีธาตุไฟ ได้แก่ ราศีเมษ ราศีสิงห์ และ ราศีธนู
                     ราศีธาตุดิน ได้แก่ ราศีพฤษภ ราศีกันย์ และ ราศีมังกร
                     ราศีธาตุลม ได้แก่ ราศีเมถุน ราศีตุล และ ราศีกุมภ์
                     ราศีธาตุน้ำ ได้แก่ ราศีกรกฎ ราศีพิจิก และ ราศีมีน
          ธาตุที่อุปการะกัน คือ ธาตุไฟ กับ ธาตุลม และ ธาตุดิน กับ ธาตุน้ำ
          ธาตุที่เป็นปฏิปักษ์กัน คือ ธาตุไฟ กับ ธาตุน้ำ และ ธาตุดิน กับ ธาตุลม
          เพศประจำราศี มี ๒ เพศ คือ เพศชาย ได้แก่ ราศีธาตุไฟ และ ราศีธาตุดิน, เพศหญิง ได้แก่ราศีธาตุลม และ ราศีธาตุน้ำ
          จักรราศี คือ การนำราศีต่าง ๆ มาบรรจุเรียงรายเป็นรูปวงกลม อันหมายถึง ท้องฟ้าเริ่มจากราศีเมษ ราศีพฤษภ ราศีเมถุน ......เรียงรายทวนเข็มนาฬิกาเรื่อยไป จนถึงราศีมีน เป็นราศีสุดท้าย
 

 
          ๒. เกษตรประจำราศี
          เกษตร แปลว่า อุดมสมบูรณ์ ให้คุณกับดวงชะตา

          ดาวเกษตรประจำราศี หมายถึง การจัดดาวลงในราศีต่างๆ เพื่อให้เป็นดาวเจ้าเรือน ระบบพลูหลวง แตกต่างจากระบบอื่นตรงที่ ใช้เกษตรเรือนเดียว ดังนี้ คือ พลูโต (พ) เกษตรราศีเมษ, แบคคัส (บ) เกษตรราศีพฤษภ, ราหู (๘) และ เกตุ (๙) เกษตรราศีเมถุน, จันทร์ (๒) เกษตรราศีกรกฎ, อาทิตย์ (๑) เกษตรราศีสิงห์, พุธ (๔) เกษตรราศีกันย์, ศุกร์ (๖) เกษตรราศีตุล, อังคาร (๓) เกษตรราศีพิจิก, พฤหัสบดี (๕) เกษตรราศีธนู, เสาร์ (๗) เกษตรราศีมังกร, มฤตยู (๐) เกษตรราศีกุมภ์ และ เนปจูน (น) เกษตรราศีมีน
 
          ปรเกษตร คือ ตำแหน่งดาวอันตรงกันข้ามกับเกษตร เป็นดาวให้โทษ เรียกสั้นๆ ว่า ดาวประ แปลว่า แตกขาด ทำลาย ไม่ต่อเนื่อง ได้แก่ ศุกร์ (๖) เป็นประในราศีเมษ, อังคาร (๓) เป็นประในราศีพฤษภ, พฤหัสบดี (๕) เป็นประในราศีเมถุน, เสาร์ (๗) เป็นประในราศีกรกฎ, มฤตยู (๐) เป็นประในราศีสิงห์, เนปจูน (น) เป็นประในราศีกันย์, พลูโต (พ) เป็นประในราศีตุล, แบคคัส (บ) เป็นประในราศีพิจิก, ราหู (๘) เกตุ (๙) เป็นประในราศีธนู, จันทร์ (๒) เป็นประในราศีมังกร, อาทิตย์ (๑) เป็นประในราศีกุมภ์ และ พุธ (๔) เป็นประในราศีมีน
         ๓. ดาวที่ใช้ในโหราศาสตร์ ระบบพลูหลวง
          โหรไทยโบราณ มักจะท่องลักษณะของดวงดาว เป็นคำคล้องจองกัน ดังนี้
                "ดูยศศักดิ์อัครฐาน ให้ดูอาทิตย์ ดูรูปดูจริต ให้ดูจันทร์ ดูกล้าดูขยัน ให้ดูอังคาร ดูเจรจาอ่อนหวาน ให้ดูพุธ ดูปัญญาบริสุทธิ์ ให้ดูพฤหัส ดูโภคสมบัติ ให้ดูศุกร์ ดูโทษทุกข์ ให้ดูเสาร์ ดูมัวเมา ให้ดูราหู ดูอายุ ให้ดูเกตุ ดูภัยอาเพท ให้ดูมฤตยู" และเพื่อให้สมบูรณ์ ท่านอาจารย์พลูหลวง ท่านได้ต่อเติมดังนี้" ดูสังคมเฟื่องฟู ให้ดูเนปจูน, ดูสมบัติเพิ่มพูน ให้ดูพลูโต, ดูสินทรัพย์ ลาโภ ดูแบคคัส"
                อันที่จริง ลักษณะพิเศษของดวงดาวแต่ละดวง ไม่ใช่จำกัดความสั้น ๆ ไว้เพียงแค่นั้น  ยังมีความหมายอันกว้างขวางยิ่งกว่านั้น ซึ่งท่านได้จำแนกแยกแยะอย่างละเอียด ดังนี้
                อาทิตย์ (๑) คือ เกียรติยศ การถือตน หมายถึงหัวหน้า เช่น พระเจ้าแผ่นดินหรือหัวหน้าครอบครัว, บิดา, สามี สถานที่ทำงานรัฐบาล, เพศชาย
                จันทร์ (๒) เป็นเพศหญิง อ่อนไหวง่าย ชอบเดินทาง เจ้าอารมณ์ ชอบความนุ่มนวล, ภรรยา, มารดา, โรงเรียนสตรี หรือ สถานที่เกี่ยวกับสตรี, บ่อน้ำ
                อังคาร (๓)  เป็นเพศหญิง อารมณ์กล้าแข็ง ชอบวิวาท โกรธง่าย เต็มไปด้วยโทสะจริต, อุบัติเหตุ, ขยันขันแข็ง, ทหาร, บาดเจ็บ, อาวุธ
                พุธ (๔) เป็นเพศชาย อารมณ์รวนเร , กลมกลืนกับสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย, มีความโลภ, จริตมารยาดี, การเจรจา, หนังสือ, การประพันธ์
                พฤหัสบดี (๕)  เพศชาย , คือ ผู้ใหญ่, ผู้ปกครอง, ครูบาอาจารย์, สมณเพศ, วัด, โรงเรียน, ความอุดมสมบูรณ์
                ศุกร์ (๖) เพศหญิง, ความรัก, ศิลป, ความฟุ่มเฟือย, ชอบสนุก, ร้านอาหาร, สถานที่รื่นรมย์, โสเภณีคู่ครอง, การแต่งงาน
                เสาร์ (๗) เพศชาย, เป็นดาวแสดงความทุกข์ยาก, ความขัดข้องชีวิตมีอุปสรรค, มักกำพร้า,   พลัดพราก, กรรมกร, แหล่งเสื่อมโทรม, ความเจ็บไข้, โรงงาน, เครื่องเหล็ก
                ราหู (๘) เพศชาย , ความลุ่มหลงมัวเมา, ต่างชาติ ต่างภาษา ต่างศาสนา ฐานันดร, การใส่ร้ายป้ายสี สิ่งเสพติด อบายมุข
                เกตุ (๙) เพศหญิง ของเก่าแก่โบราณ, สิ่งศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณ, คนแก่, คนไม่สมประกอบ, สิ่งที่เป็นอาถรรพณ์ อาเพท เหตุร้ายต่างๆ
                มฤตยู (๐) เพศหญิง การคิดค้นสิ่งใหม่ๆ, การเดินทาง, การเสี่ยง, การเผชิญโชค, โสเภณี, ต่างแดน, ต่างศาสนา, สนใจทางจิต
                เนปจูน (น) เพศหญิง , ทะเล, น้ำ, เรือ, ทหารเรือ, การสังคม, การชุมนุม, การร่วมประชุมโรงมหรสพ, งานออกร้าน, นักไสยศาสตร์, คอมมูนิสต์
                พลูโต (พ) เพศชาย , การเงียบขรึม, ชอบสะสม,   โบราณคดี, แพทย์, โหราศาสตร์, ไสยศาสตร์, วิญญาณ
                แบคคัส (บ) เพศชาย , การเงิน หลักทรัพย์, ความอุดมสมบูรณ์, โชคลาภ, มรดก
          ๔. ประเภทของดวงดาว แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ตามลักษณะของการให้คุณ ให้โทษ คือ
          ดาวศุภเคราะห์ เป็นดาวให้คุณ ได้แก่ อาทิตย์ (๑) จันทร์ (๒) พุธ (๔) พฤหัสบดี (๕) ศุกร์(๖) และ แบคคัส (บ)
          ดาวบาปเคราะห์ เป็นดาวให้โทษ ได้แก่ อังคาร (๓) เสาร์ (๗) มฤตยู (๐) เนปจูน (น) พลูโต (พ) และ ราหู (๘) เกตุ (๙)
          ๕. ดาวดี ดาวร้าย โหราศาสตร์ ได้แบ่งประเภทของดาว ตามลักษณะดี ร้าย ออกไปอีก เช่น ดาวคู่มิตร คู่ศัตรู, ดาวมหาอุจ- ดาวนิจ ฯลฯ
          ดาวคู่มิตร ได้แก่ อาทิตย์ (๑) เป็นมิตรกับดาวพฤหัสบดี (๕) , จันทร์ (๒) เป็นมิตรกับ พุธ (๔), ศุกร์ (๖) เป็นมิตรกับ อังคาร (๓) และ เสาร์ (๗) เป็นมิตรกับ ราหู (๘) ดังคำกลอนที่ว่า
          อาทิตย์เป็นมิตรกับครู จันทร์โฉมตรู พุธนงเยาว์ ศุกร์ปากหวาน อังคารรับเอา ราหูกับเสาร์ เป็นมิตรแก่กัน
          ดาวคู่ศัตรู ได้แก่ อาทิตย์ (๑) เป็นศัตรูกับ อังคาร (๓), จันทร์ (๒) เป็นศัตรูกับ พฤหัสบดี (๕) , พุธ (๔) เป็นศัตรูกับ ราหู (๘) และ ศุกร์ (๖) เป็นศัตรูกับ เสาร์ (๗) ดังคำกลอนที่ว่า
          อาทิตย์วิวาทกับอังคาร จันทร์โฉมฉายวิวาทกับครู พุธนงเยาว์เกลียดเมาราหู ศุกร์เสาร์ทั้งคู่ เป็นศัตรูกัน
 


ดาวมหาอุจ
          ดาวมหาอุจ คือ ดาวที่มีศักดิ์สูง ให้คุณแก่ดวงชะตา ได้แก่ อาทิตย์ (๑) เป็นมหาอุจในราศีเมษ, จันทร์ (๒) เป็นอุจในราศีพฤษภ, มฤตยู (๐) เป็นอุจ ในราศีเมถุน, พฤหัสบดี (๕) เป็นอุจ ในราศีกรกฎ, ราหู (๘) เกตุ (๙) เป็นอุจ ในราศีสิงห์, พุธ (๔) เป็นอุจ ในราศีกันย์, เสาร์ (๗) เป็นอุจ ในราศีตุล, เนปจูน (น) เป็นอุจในราศีพิจิก, พลูโต (พ) เป็นอุจในราศีธนู, อังคาร (๓) เป็นอุจในราศีมังกร, แบคคัส (บ) เป็นอุจ ในราศีกุมภ์ และ ศุกร์ (๖) เป็นอุจ ในราศีมีน
ดาวนิจ
          ดาวนิจ คือ ดาวที่มีศักดิ์ต่ำ อยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับ มหาอุจจ์ เป็นดาวให้โทษในดวงชะตา ได้แก่ เสาร์ (๗) เป็นนิจ ในราศีเมษ, เนปจูน (น) เป็นนิจ ในราศีพฤษภ, พลูโต (พ) เป็นนิจ ในราศีเมถุน, อังคาร (๓) เป็นนิจ ในราศีกรกฎ, แบคคัส (บ) เป็นนิจ ในราศีสิงห์, ศุกร์ (๖) เป็นนิจ ในราศีกันย์, อาทิตย์ (๑) เป็นนิจ ในราศีตุล, จันทร์ (๒) เป็นนิจ ในราศีพิจิก, มฤตยู (๐) เป็นนิจ ในราศีธนู, พฤหัสบดี (๕) เป็นนิจ ในราศีมังกร, ราหู (๘) เกตุ (๙) เป็นนิจ ในราศีกุมภ์ และ พุธ (๔) เป็นนิจ ในราศีมีน
          ๖. มุมให้คุณ ให้โทษ ในดวงชะตา
          มุมกุม  หรือ มุมร่วมราศี (มุม องศา) ดาวที่อยู่ในราศีเดียวกัน เรียกว่า กุมกัน (ในกรณีที่พิจารณาดาวจรมาทับดาวพื้นดวงในราศีเดียวกัน เราเรียกว่า ทับกัน) มีอิทธิพลรุนแรง ด้วยอยู่ร่วมกัน และอยู่ในราศีธาตุเดียวกัน ถ้าหากศุภเคราะห์กุมลัคนา หรือ ศุภเคราะห์กุมกันเอง อย่างนี้ให้คุณ หากบาปเคราะห์กุมลัคนา หรือบาปเคราห์กุมศุภเคราะห์ อย่างนี้ให้โทษ ในกรณีที่บาปเคราะห์กุมกันเองย่อมให้โทษ แต่ย่อมเบาบางกว่า เนื่องจากบาปเคราะห์เบียนกันเอง เปรียบได้ดังสุภาษิตที่ว่า ร้ายเจอร้ายกลายเป็นดีหรือ คนเลวฆ่ากันตาย คนสบายคือคนดีจะได้นอนตาหลับอย่างสงบสุข
 
 
          . มุมตรีโกณ หรือ มุมร่วมธาตุ หรือ มุมสามเหลี่ยม (มุม ๑๒๐ องศา) คือ มุมที่มีตำแหน่งของดาวอยู่ในมุมสามเหลี่ยม หรือ เป็น แก่กัน (การนับ นับจากจุดเริ่มต้นเป็น เสมอ) ถ้าหากมีดาวศุภเคราะห์อยู่ในมุมร่วมธาตุทั้ง จุด จะให้คุณมาก แต่ถ้าหากเป็นบาปเคราะห์ตรึง จุด อาจจะส่งผลให้คุณด้วยเป็นมุมที่ให้คุณ ด้วยได้รับอิทธิพลจากธาตุเดียวกัน แต่มักจะให้โทษติดตามมาเสมอ ด้วยเป็นบาปเคราะห์ ถ้ามีทั้งศุภเคราะห์ และบาปเคราะห์คละกันไป ไม่ต้องเป็นห่วงว่าบาปเคราะห์จะเบียนศุภเคราะห์ ทั้งนี้ เนื่องจากมุมนี้เป็นมุมให้คุณ แต่บาปเคราะห์นั้น อาจจะส่งผลให้โทษแก่ศุภเคราะห์นั้น ตามลักษณะของดาวบาปเคราะห์ คือ ส่งกระแสความชั่วร้ายไปให้ อาจทำให้ศุภเคราะห์นั้น ด้อยค่าลง หรือ ได้รับผลดีไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือ ก่อให้เกิดโทษร้ายตามมาภายหลัง

          . มุมเล็ง (มุม ๑๙๐ องศา)  คือ มุมที่มีดาวอยู่ตรงกันข้าม  หรือ เป็น แก่กัน คือ อยู่ฝ่ายละธาตุ คนละเพศ  ราศีตรงข้ามปกติจะให้โทษ  ถ้าหากเป็นบาปเคราะห์ตั้งอยู่  แต่ถ้าหากเป็นศุภเคราะห์ตั้งอยู่ และเล็งมายังลัคนา ก็สามารถให้คุณแก่ลัคนาได้ แต่ไม่แน่นอนเสมอไป อย่างศุกร์ () เป็นเจ็ดกับลัคนา หรืออยู่ในภพปัตนิ ท่านว่า จะทุกข์ใจเพราะความรัก .พลูหลวงได้ให้ความหมายของศุกร์อยู่ในภพที่ หรือ ปัตนิว่า ความรักถูกฝ่ายตรงข้ามกุมอำนาจไว้ เจ้าชะตาปราศจากความสุข แต่จากประสบการณ์ของผม ศุกร์อยู่ในภพที่ มักพลัดพรากจากคนรัก ความรักไม่ลงตัว มักจะรักคนที่เขาไม่รักเราจริง  ประเภทได้คู่เจ้าชู้ หลายรัก หลายใจ หรือรักเขาข้างเดียว ซะมากกว่า สมดังโบราณว่า ศุกร์เป็นเจ็ดเจ้าเร่าร้อนทุกข์ใจแต่ที่ท่านบอกว่า ศุภเคราะห์เล็งลัคน์ อาจให้คุณกับลัคนานั้น ก็เนื่องจาก มุมเล็ง เป็นมุมสมพงษ์ เป็นของมีมาคู่กันตามธรรมชาติ ย่อมอุปการะกัน เช่น ไฟกับลม, ดินกับน้ำ, ชายกับหญิง ฯลฯ ดังที่อธิบายมาแล้วในเรื่องของธาตุ
          อย่างไรก็ดี มุมเล็งหรือ มุมตรงข้าม ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ตรงข้าม อาจจะเป็นปรปักษ์กันได้ภายหลัง เหมือนสามีภรรยากัน แต่งงานกัน รักกันปานจะกลืน แต่แล้วก็อาจจะมีการทะเลาะเบาะแว้ง เลิกราหย่าร้างกันไป แล้วภายหลังมาตั้งตัวเป็นศัตรูกัน ดังนั้น ผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่า มุมเล็งน่าจะเป็นมุมที่ให้โทษมากกว่าให้คุณ ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรกับที่อาจารย์พลูหลวงเคยเขียนไว้ในเรื่องของดาวศุกเคราะห์ที่มาเล็งลัคนา มักจะส่งกระแสดาวบาปเคราะห์คู่เกษตรฝ่ายตรงข้ามมาให้ อย่างเช่น จันทร์ () เล็งลัคน์ ก็จะส่งกระแสดาวเสาร์ () คู่เกษตรฝ่ายตรงข้ามมาให้ ทำให้เจ้าชะตามักจะเป็นคนแบกทุกข์ แบกภาระการงาน อกหักผิดหวัง มีปัญหาอุปสรรคในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะเรื่องของคู่ครอง ตามลักษณะของดาวเสาร์ หรือ ดาวเศร้านั่นเอง
          ในทางกลับกัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับว่า เสาร์เล็งลัคน์ จะส่งผลให้เจ้าชะตาได้รับกระแสจากดาวจันทร์ (๒) ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเสาร์ ทำให้เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน เพ้อฝัน สร้างจินตนาการอย่างดีเยี่ยม ชอบบรรยากาศที่เงียบสงบ โรแมนติค ตามลักษณะของจันทร์ อย่างเช่น ดวงท่านสุนทรภู่ ที่มีเสาร์ (๗) กับราหู (๘) อยู่ภพปัตนิ เล็งลัคนา เป็นต้น

 
          ๔. มุมโยค (มุม ๖๐ องศา) คำว่า โยค มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า โชค คือ ดาวที่อยู่กระโดดข้ามข้างหน้าไป ราศี (เป็น แก่กัน) เรียกว่า โยคหน้าถ้าหากอยู่ข้างหลังถัดไปอีก ราศี (เป็น แก่กัน แต่นับไปข้างหลัง) เรียกว่า โยคหลังดาวที่ถึงกันในมุมแบบนี้ ก็คล้ายกับมุมเล็งในส่วนที่ เป็นธาตุอุปการะ หรือ สมพงษ์กัน คือ ไฟกับลม, ดินกับน้ำ เรียกว่า เป็นฝ่ายสนับสนุน หรือส่งเสริม ชักนำไปในทางที่ดี ถ้าหากเป็นศุภเคราะห์ตั้งอยู่ ก็ให้คุณยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากเป็นบาปเคราะห์ตั้งอยู่ ก็อาจให้คุณน้อยลงไป และอาจได้รับโทษบ้างตามลักษณะของบาปเคราะห์นั้น แต่โทษที่ได้ไม่รุนแรง เพราะถือว่า มุมโยค เป็นมุมที่ให้คุณ
 
         . มุมจตุโกณ  หรือ มุมสี่เหลี่ยม หรือ มุมกากบาท (มุม ๙๐ องศา) เป็นมุมหัก มุมข้อพับ เป็นมุมให้โทษ (เป็น แก่กัน) ถ้าหากเป็นบาปเคราะห์ตั้งอยู่ครบทุกมุม ให้โทษร้ายแรงยิ่งนัก แต่ถ้าหากเป็นศุภเคราะห์ตั้งอยู่ครบทุกมุม ก็สามารถให้คุณได้ แต่ไม่เต็มที่ หรือ หากให้คุณเต็มที่ ก็จะให้โทษตามมาภายหลัง เพราะเป็นมุมขัดแย้งกันนั่นเอง  แต่ถ้าเป็นบาปเคราะห์กับศุภเคราะห์ จำไว้เลยนะครับว่า บาปเคราะห์ย่อมเบียนศุภเคราะห์เสมอ เหมือนคนเลวย่อมทำร้ายคนดี ดังนั้น หากดวงใดมีลักษณะดังที่ว่านี้ แม้โหรโบราณจะยกย่องว่า เป็น ดวงจตุสดัยเกณฑ์คือ ให้คุณในด้านอำนาจ วาสนา เกียรติยศชื่อเสียง หน้าที่การงาน ฐานะความเป็นอยู่ ฯลฯ ก็จริง แต่ถ้ามีบาปเคราะห์ตรึงในมุมกากบาทมากเท่าไร ยิ่งทุกจุดด้วยแล้ว โอกาสที่ชีวิตจะหักโค่นล้มลงย่อมมีมาก เห็นตัวอย่างมามากแล้ว
          ยกตัวอย่าง เช่น ดวงของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ มกุฎราชกุมารองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลที่ ท่านต้องสิ้นพระชนม์ ก่อนวัยอันสมควร มิได้ขึ้นครองราชย์ เนื่องจาก มีบาปเคราะห์ ดวง ทำมุมกากบาทกับลัคนา ทุกจุด , อีกดวงหนึ่ง คือ ดวงท่าน เจ้าพระยามหิธร ซึ่งรับราชการอยู่กับกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย ท่านได้ลาออกจากราชการ เพราะการเมืองเป็นเหตุ ต้องตกอับอยู่ระยะหนึ่ง เพราะดวงของท่านมีบาปเคราะห์กุมลัคนา และยังทำมุมกากบาท กับลัคนาของท่านทุกจุด แต่เนื่องจากดวงของท่านยังมีส่วนอื่น ที่เข้มแข็งหนุนดวงชะตาอยู่ ท่านจึงมีโอกาสกลับเข้ารับราชการ จนได้ยศถาบรรดาศักดิ์สูงสุด เป็นถึง เจ้าพระยา
 

         . มุมปลายหอก (มุม ๑๕๐ องศา และ ๒๑๐ องศา) คือ มุมที่ให้โทษร้ายแรงอีกมุมหนึ่ง เนื่องจากเป็น (อริ) และ เป็น (มรณะ) กับลัคนา หากมีบาปเคราะห์ตั้งอยู่ทั้ง จุด จะให้โทษแก่ลัคนา และดาวเจ้าเรือนที่อยู่ในจุดที่เป็นปลายหอกนั้น มุมชนิดนี้จัดเป็นมุมให้โทษอย่างเดียว ไม่ให้คุณ
 
          . มุมก้ามปู หรือ มุมบีบ หรือ มุมประชิด (มุม ๓๐ องศา)  คือ มุมที่มีดาวเดินอยู่ข้างหน้าและข้างหลัง ราศี ดาวที่อยู่ข้างหน้า เราเรียกว่า ศูนยพาหะเป็นตำแหน่งที่มีอิทธิพลแก่เจ้าชะตา (กรณีเดินนำหน้าลัคนา) และมีอิทธิพลต่อดาวที่เดินตามหลัง ดังนั้น หากดาวที่อยู่ข้างหน้าเป็นดาวที่ให้คุณ ก็จะให้คุณ หากเป็นดาวที่ให้โทษย่อมให้โทษ ดังนั้น เรื่องของศูนยพาหะนี้ เป็นเรื่องสำคัญที่ควรจดจำ เหมือนลูกปูเดินตามแม่ปู ฉันใดฉันนั้น ส่วนดาวที่อยู่ข้างหลังนั้น จะเป็นตัวบ่อนทำลายดาวหรือลัคนา ที่อยู่ข้างหน้า เนื่องจาก เป็นวินาศนะแก่กัน หากลัคนา หรือดาวใด มีดาวบาปเคราะห์บีบหน้าหลังทั้งสองจุด อาจทำให้เจ้าชะตาตกอับและเข้าตาจนได้ แต่ถ้าหากเป็นศุภเคราะห์ทั้งสองจุด ก็อาจจะให้คุณได้บ้าง ด้วยถือได้ว่า อยู่ในแวดล้อมที่ดี แต่ก็นั่นแหละ มุมนี้เป็นมุมบีบ ปกติให้โทษ กว่าจะได้ดีอาจต้องใช้เวลาฟันฝ่าสักหน่อย เพราะถูกกดถูกบีบนั่นเอง
          การพิจารณาดาว ที่สถิตอยู่ในมุมทั้งหลายที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ได้ยกตัวอย่างเฉพาะดาวศุภเคราะห์ หรือ บาปเคราะห์ แต่เพียงอย่างเดียว เพื่อให้สะดวกในการจดจำ และ ไม่สับสน  แต่เวลาที่เราพิจารณาดวงจริง นั้น จะต้องนำเอาศักดิ์ศรีและคุณภาพของดาว คือ เกษตร ประ อุจจ์ นิจ ฯลฯ , ดาวคู่มิตร, คู่ศัตรู, ดาวอริ, มรณะ, วินาศนะ ฯลฯ มาประกอบการพิจารณาด้วย ถึงจะเป็นการถูกต้องเป็นจริง
          ๗. ภพ หรือ เรือนต่างๆ ในดวงชะตา
 
          ภพ หรือ เรือน คือ ราศี อันเป็นที่ตั้งของดาวเกษตรประจำราศี ที่บอกคุณลักษณะความหมายในด้านต่างๆ ที่ใช้ในการพยากรณ์ดวงชะตา เกิดขึ้นจากการเอาเวลาเกิดของเจ้าชะตา มาคำนวณหา ลัคนา ซึ่งเป็นภพที่ ๑ ของดวงชะตา เมื่อหาได้แล้วว่าอยู่ที่ราศีใด ราศีนั้น คือ เรือนที่ ๑ หรือ ภพที่ ๑ อันเป็นที่ตั้งของลัคนา
          ภพ หรือ เรือน มีด้วยกันทั้งสิ้น ๑๒ ภพ หรือ ๑๒ เรือน เท่ากับจำนวนราศี ใน จักรราศี เมื่อเราวางลัคนาที่คำนวณได้ในราศีใด ราศีหนึ่งแล้ว ราศีถัดไป นับจากซ้ายไปขวา หรือ ทวนเข็มนาฬิกา ก็จะเป็นภพที่ ๒ หรือ เรือนที่ ๒, ราศีถัดไป จะเป็นภพที่ ๓ หรือ เรือนที่ ๓......เรื่อยไป จนถึงภพที่ ๑๒ หรือ เรือนที่ ๑๒
          ภพที่ ๑ หรือ เรือนที่ ๑ เรียกว่า เรือนลัคนา หรือ เรือนลัคน์ เกษตรเจ้าเรือน เราเรียกว่า ดาวเจ้าเรือนลัคน์ เช่น ลัคนาอยู่ในราศีเมษ เกษตรราศีเมษ คือ ดาวพลูโต (พ) ดังนั้น ดาวเจ้าเรือนลัคน์ คือ ดาวพลูโต (พ) เราใช้ภพที่ ๑ หรือ ลัคนา ในการพยากรณ์เรื่องราวต่าง ๆ ที่จะเข้ามาสู่เจ้าชะตาทุกเรื่อง ไม่เฉพาะเจาะจงทายลักษณะนิสัยใจคอ รูปร่าง หน้าตา แต่เพียงอย่างเดียว เรื่อง ความเป็นความตาย การเจ็บไข้ไม่สบาย วาสนาบารมี ความสุข ความทุกข์ ความสมหวัง ผิดหวัง ฯลฯ ก็ต้องนำเอาลัคนา และ ดาวเจ้าเรือนลัคน์ มาพิจารณาร่วมทุกครั้ง
          ภพที่ ๒ หรือ เรือนที่ ๒ เรียกว่า ภพกฎุมพะ หรือ เรือนกฎุมพะ เกษตรเจ้าเรือน เราเรียกว่า ดาวเจ้าเรือนกฎุมพะ หรือ ดาวเจ้าเรือนการเงิน เพราะภพนี้ ใช้สำหรับพยากรณ์เรื่องราว เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเงิน รายได้ ฐานะความเป็นอยู่ของเจ้าชะตา ฯลฯ เป็นหลักใหญ่ นอกจากนั้น ยังใช้พยากรณ์เกี่ยวกับ การพูด การเจรจา การตกลงทำสัญญา การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ฯลฯ และ อื่น ๆ อีกมาก ถ้าลัคนาอยู่ในราศีเมษ ภพที่ ๒ คือ ราศีพฤษภ มีดาวแบคคัส (บ) เกษตรราศีพฤษภ เป็นดาวเจ้าเรือนกฎุมพะ หรือ ดาวเจ้าเรือนการเงิน
          ภพที่ ๓ หรือ เรือนที่ ๓ เรียกว่า ภพสหัชชะ ใช้พยากรณ์เกี่ยวกับเพื่อนฝูง ญาติมิตร วงสังคม การไปมาหาสู่ หรือ การเดินทางในระยะใกล้ ๆ เช้าไป เย็นกลับ ถ้าลัคนาอยู่ราศีเมษ ภพสหัชชะ คือ ราศีเมถุน มีดาวราหู (๘) และ เกตุ (๙) เกษตรราศีเมถุน เป็นดาวเจ้าเรือนสหัชชะ
          ภพที่ ๔ หรือ เรือนที่ ๔ เรียกว่า ภพพันธุ ใช้พยากรณ์เกี่ยวกับบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย การเดินทางเปลี่ยนแปลงโยกย้ายที่อยู่อาศัย การพลัดที่นาคาที่อยู่  มารดาในดวงชาย บิดาในดวงหญิง ญาติที่น้องท้องเดียวกัน หรือ สายโลหิตเดียวกัน รถยนต์ ยานพาหนะทุกชนิด ฯลฯ ถ้าลัคนาอยู่ราศีเมษ ภพพันธุ คือ ราศีกรกฎ มีดาวจันทร์ (๒) เกษตรราศีกรกฎ เป็นดาวเจ้าเรือนพันธุ
          ภพที่ ๕ หรือ เรือนที่ ๕ เรียกว่า ภพปุตตะ ใช้พยากรณ์เกี่ยวกับบุตร บริวาร สัตว์เลี้ยง ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ผู้อ่อนอาวุโสกว่า หากเป็นดวงบ้านดวงเมือง หรือ ดวงของพระเจ้าแผ่นดิน ปุตตะ ในที่นี้ หมายถึง พสกนิกร หรือ ผู้อยู่ใต้เบื้องพระยุคลบาท เป็นข้ารับใช้แผ่นดิน ฯลฯ ถ้าลัคนาอยู่ในราศีเมษ ภพปุตตะ คือ ราศีสิงห์ มีดาวอาทิตย์ (๑) เกษตรราศีสิงห์ เป็นดาวเจ้าเรือนภพปุตตะ
          ภพที่ ๖ หรือ เรือนที่ ๖ เรียกว่า ภพอริ ใช้พยากรณ์เกี่ยวกับปัญหาอุปสรรค ศัตรู โรคภัยไข้เจ็บ ความยากลำบากในการดำเนินชีวิต ฯลฯ เป็นภพทุสถานะ หากดาวใดมาสถิตอยู่ หรือ ไปกุมกับดาวเจ้าเรือนอริ ก็จะเกิดโทษแก่ดาวนั้นๆ ถ้าลัคนาอยู่ราศีเมษ ภพอริ คือ ราศีกันย์ มีพุธ (๔) เกษตรราศีกันย์ เป็นดาวเจ้าเรือนอริ
          ภพที่ ๗ หรือ เรือนที่ ๗ เรียกว่า ภพปัตนิ ใช้พยากรณ์เกี่ยวกับความรัก คู่ครอง การแต่งงาน ศัตรูที่เปิดเผย ฯลฯ ถ้าลัคนาอยู่ราศีเมษ ภพปัตนิ คือ ราศีตุล มีศุกร์ (๖) เกษตรราศีตุล เป็นดาวเจ้าเรือนปัตนิ
          ภพที่ ๘ หรือ เรือนที่ ๘ เรียกว่า ภพมรณะ ใช้พยากรณ์เกี่ยวกับ การพลัดพราก สูญเสีย การสิ้นหวัง พังทะลาย ความล้มเหลว การเปลี่ยนแปลงจากสถานะหนึ่ง ไปสู่สถานะหนึ่ง ฯลฯ เป็นภพทุสถานะ ถ้าดาวใดมาสถิตอยู่ หรือ มากุมกับดาวเจ้าเรือนมรณะ ก็จะเกิดโทษแก่ดาวนั้น ๆ ถ้าลัคนาอยู่ราศีเมษ ภพมรณะ คือ ราศีพิจิก มีอังคาร (๓) เกษตรราศีพิจิก เป็นดาวเจ้าเรือนมรณะ หรือ ดาวฆาต
          ภพที่ ๙ หรือ เรือนที่ ๙ เรียกว่า ภพศุภะ ใช้พยากรณ์เกี่ยวกับ วาสนาบารมี คุณงามความดี ความสำเร็จสมหวัง ศาสนาและศีลธรรม การเดินทางไกล การได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง การออกบวช การต่างประเทศ ต่างแดน  บิดาในดวงชาย มารดาในดวงหญิง ฯลฯ ถ้าลัคนาอยู่ราศีเมษ ภพศุภะ คือ ราศีธนู มีดาวพฤหัสบดี (๕) เกษตรราศีธนู เป็นดาวเจ้าเรือนภพศุภะ
          ภพที่ ๑๐ หรือ เรือนที่ ๑๐ เรียกว่า ภพกัมมะ เป็นภพที่สถิตของดาวที่อยู่เหนือศีรษะพอดีในขณะเกิด มีความสำคัญเทียบเท่าลัคนา ใช้พยากรณ์เกี่ยวกับการกระทำ หรือ กรรมของเจ้าชะตา ตลอดจนการศึกษาเล่าเรียน การงานอาชีพ การดำเนินชีวิตประจำวัน  ฯลฯ ถ้าลัคนาอยู่ราศีเมษ ภพกัมมะ คือ ราศีมังกร มีเสาร์ (๗) เกษตรราศีมังกร เป็นดาวเจ้าเรือนกัมมะ
          ภพที่ ๑๑ หรือ เรือนที่ ๑๑ เรียกว่า ภพลาภะ ใช้พยากรณ์เกี่ยวกับ ลาภผล ความพึงพอใจ สิ่งที่ได้มาโดยง่าย ผู้ให้การสนับสนุน ช่วยเหลือเกื้อกูล ผู้อุปถัมภ์ค้ำชู เพื่อนสนิท ฯลฯ ถ้าลัคนาอยู่ราศีเมษ ภพลาภะ คือ ราศีกุมภ์ มีดาวมฤตยู (๐) เกษตรราศีกุมภ์ เป็นดาวเจ้าเรือนลาภะ
          ภพที่ ๑๒ หรือ เรือนที่ ๑๒ เรียกว่า ภพวินาศนะ ใช้พยากรณ์เกี่ยวกับ สิ่งเร้นลับ ไม่เปิดเผย สิ่งที่อยู่ห่างไกล อยู่ในที่จำกัดเขต ที่หวงห้าม ฯลฯ เป็นภพทุสถานะ หากดาวใดมาอยู่ หรือ กุมกับดาวเจ้าเรือนวินาศนะ ก็มักจะเกิดโทษแก่ดาวนั้น ถ้าลัคนาอยู่ราศีเมษ ภพวินาศนะ คือ ราศีมีน มีดาวเนปจูน (น) เกษตรราศีมีน เป็นดาวเจ้าเรือนวินาศนะ
         ๘. ลัคนาจรตามภพ หรือ การนับเกณฑ์อายุของเจ้าชะตา เรื่องการนับเกณฑ์อายุ หรือ ลัคนาจรนี้ โหรโบราณเขาก็มีวิธีการนับ ดูจะไม่แตกต่างไปจากระบบพลูหลวงนัก กล่าวคือ    เมื่อแรกเกิด ถึง ๑ ปี  เมื่อเราผูกดวงขึ้นมานั้น ลัคนาอยู่ที่ใด อายุ ๑ ปีแรกของเรา ก็อยู่ที่นั้น ทีนี้พออายุ ๒ ปี ลัคนาก็ต้องจรจากที่อยู่เดิม คือ ภพที่ ๑ เข้าสู่ภพที่ ๒ (การเงิน)  พออายุ ๓ ปี ก็เข้าภพที่ ๓ (สหัชชะ) ......นับอย่างนี้เรื่อยไป จนอายุครบ ๑๒ ปี เต็ม ลัคนาก็จะจรเข้าอยู่ในภพวินาศนะ ถือเป็น ๑ รอบ
ลัคนาจรตามภพ
          พออายุ ๑๓ ปี ก็ต้องขึ้นรอบใหม่ เป็นรอบที่สอง ตั้งต้นใหม่จากลัคนา พออายุ ๑๔ ปี ก็เข้าภพที่ ๒ , อายุ ๑๕ ปี ก็เข้าภพที่ ๓ .......จนหมดรอบที่ ๒ ก็ขึ้นรอบที่ ๓ ตอนอายุ ๒๕ ลัคนาจร ก็จะเข้าทับลัคนาเดิมในพื้นดวง
          หากลัคนาจรเข้าเรือนใด  มักจะส่งผลคำทำนายเน้นหนักไปที่เรือนนั้น  เช่น เข้าเรือนปัตนิ คือ ช่วงอายุเต็ม ๗, ๑๙, ๓๑, ๔๓, ๕๕, ๖๗.....ฯลฯ จะมีเกณฑ์พบคู่ หรือพบคนรัก มีความสัมพันธ์กับคนรัก หรือแต่งงาน คือ ไม่พ้นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไปได้ หากลัคนาจรเข้าเรือนมรณะ คือ ช่วงอายุเต็ม ๘, ๒๐, ๓๒, ๔๔, ๕๖, ๖๘, ๘๐.....ฯลฯ อย่างนี้ต้องระวังการเจ็บไข้ไม่สบายอย่างหนัก หรือได้รับการผ่าตัด อุบัติเหตุอันตรายร้ายแรง อาจมีการพลัดพราก สูญเสียในเรื่องต่าง ๆ หรือตัวเองอาจได้รับอันตรายร้ายแรงถึงกับชีวิตได้
         เมื่อเราวางลัคนาจรในพื้นดวงเดิมแล้ว  เราก็จะสามารถอ่านเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในปีนั้นๆ จากจุดลัคนาจรที่เราตั้งขึ้น ประกอบกับพื้นดวงเดิม หรือ ลัคนาเดิมได้ และเมื่อดูประกอบกับดาวจรในขณะนั้น ที่มากระทบกับดาวเดิม คือ มาทับดาวเดิม หรือมาเล็งดาวเดิม มากากะบาดดาวเดิม หรือ มาทำมุมปลายหอก ดาวเดิม อย่างนี้ถ้าเป็นบาปเคราะห์ ก็จะให้โทษมาก แต่ถ้าดาวศุภเคราะห์จรมาทับลัคนา หรือดาวเดิม มาทำมุมร่วมธาตุ หรือ โยคหน้า โยคหลัง ซึ่งถือว่าเป็นมุมที่ให้คุณ อย่างนี้ก็จะให้คุณแก่เจ้าชะตา ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องดูให้ออก แยกให้ได้ว่า เรากำลังดูเรื่องใด ดีหรือร้าย โดยอาศัยเกณฑ์ หรือแนวโน้มส่วนใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในปีนั้น จากลัคนาจรตามภพ แล้วค่อยพิจารณาเรื่องอื่น ๆ ตามมา
          ๙. ดาวเสวยอายุ เสวยแทรก แบบใหม่ ที่ใช้ในระบบพลูหลวง  เป็นเรื่องจริงครับ ไม่มีระบบอื่นใดในโลกใช้ดาวเสวยอายุ เสวยแทรกแบบนี้เลย  ต้องถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของท่านทีเดียวครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่กล้าท้า และกล้ายืนยันว่า ทฤษฏีดาวเสวยอายุ เสวยแทรกแบบใหม่นี้ ใช้ได้ผลอย่างดีเยี่ยม ตลอดระยะเวลา ๒๐ กว่าปี ที่ผมได้ศึกษา ผ่านการผูกดวง อ่านดวง เพื่อใช้ในการพยากรณ์ ยังไม่มีพลาดเลยครับ ลองดูนะครับ ลองเอาไปใช้ดู แล้วจะรู้ความจริงเอง ว่า ดีจริงหรือไม่ ?
            ดาวเสวยอายุ เสวยแทรกแบบใหม่นี้ ท่านอาจารย์พลูหลวง ท่านใช้ทฤษฎีของเกษตรใหม่ ที่ดาวเรียงรายกัน ใกล้ ไกล จากดวงอาทิตย์ เป็นหลักในการเสวยอายุ เสวยแทรก โดยเริ่มที่ดาวอาทิตย์ (๑) ก่อน ตามมาด้วยพุธ (๔) ที่อยู่ใกล้ที่สุด ถัดมาก็เป็นดาวศุกร์ (๖) และ ดาวจันทร์ (๒) ที่อยู่ใกล้โลก ไม่ได้จัดโลกไว้นะครับ อย่างที่บอกไว้น่ะแหละ ว่าจุดสังเกตการณ์เราอยู่บนโลก เรามองไม่เห็นตัวเราเองหรอกครับ จากนั้นก็เป็นอังคาร (๓).....ไล่เรื่อยไปจนถึง...พลูโต (พ) ในช่วงที่กำหนดทฤษฏีนี้ ยังไม่มีการนำแบคคัส (บ) มาใช้ และผมเห็นว่า คนส่วนมากในขณะนี้ น้อยคนนักที่จะมีอายุเกิน ๑๐๐ ปี ผมก็เลยไม่อุตริ นำมาจัดเพิ่มเติม คงไว้ซึ่งหลักการของอาจารย์พลูหลวง จะดีกว่า
            ดาวอาทิตย์ (๑) จะครองวัย หรือ เสวยอายุ  ตั้งแต่แรกเกิด ถึง ๑๐ ปี , พุธ (๔)  อายุ ๑๑ ๒๐ ปี, ศุกร์ (๖) อายุ ๒๑ ๓๐ ปี, จันทร์ (๒) อายุ ๓๑ ๔๐ ปี, อังคาร (๓) อายุ ๔๑ ๕๐ ปี, พฤหัสบดี (๕) อายุ ๕๑ ๖๐ ปี, เสาร์ (๗) อายุ ๖๑ ๗๐ ปี, มฤตยู (๐) อายุ ๗๑ ๘๐ ปี, เนปจูน (น) อายุ ๘๑ ๙๐ ปี, และ พลูโต (พ) อายุ ๙๑ ๑๐๐ ปี หากใครอายุมากเกินร้อย แล้วจะมาดูเรื่องเนื้อคู่ล่ะก็ ผมจะดูให้ว่า ตายไปแล้ว นอนด้วยโลงทำไม้อะไร ถึงจะถูกโฉลก พบเนื้อคู่บนสรวงสวรรค์ รับรองความแม่นยำครับ
            เมื่อเราทราบว่า ช่วงไหนดาวใดเสวยอายุแล้ว เราก็มานับ หาตำแหน่งดาว ที่จะเสวยแทรก ในช่วงปีนั้น ๆ  ยกตัวอย่าง เช่น อายุ ๙ ขวบ  ซึ่งอยู่ในวัยอาทิตย์ (๑) นั้น มีดาวใดเสวยแทรก ก็ต้องนับ ๑ ขวบ จากอาทิตย์ (๑) นับ ๒ จากพุธ (๔) นับ ๓ จากศุกร์ (๖) นับ ๔ จากจันทร์ (๒) นับ ๕ จากอังคาร (๓) นับ ๖ จากพฤหัสบดี (๕) นับ ๗ จากเสาร์ (๗) นับ ๘ จากมฤตยู (๐) และนับ ๙ จากเนปจูน (น) จะเห็นได้ว่า เจ้าชะตาตอนอายุ ๙ ขวบนั้น มีดาวอาทิตย์ (๑) เสวยอายุ และดาวเนปจูน (น) เสวยแทรก
          ตัวอย่างอายุ ๒๕ ปี เราทราบว่า อยู่ในวัยของดาวศุกร์ (๖) เราก็เริ่มนับ ๒๑ ที่ศุกร์ (๖) นับ ๒๒ ที่จันทร์ (๒) นับ ๒๓ ที่อังคาร (๓) นับ ๒๔ ที่พฤหัสบดี และนับ ๒๕ ที่เสาร์ จะเห็นได้ว่า อายุ ๒๕ ปี ที่อยู่ในวัยเบญจเพสนั้น ศุกร์ (๖) เข้าเสวยอายุ และเสาร์ (๗) เข้าเสวยแทรก เรียกสั้น ๆ ว่า ศุกร์เข้าเสาร์แทรก คนถึงกลัววัยนี้กันนักกันหนา เพราะดาวเสวยอายุ เสวยแทรก เป็นดาวคู่ศัตรูกัน
         เพื่อความเข้าใจ และเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็จะทำตารางดาวเสวยอายุ เสวยแทรก แบบใหม่ ให้พิจารณากัน ดังนี้
         ตาราง ดาวเสวยอายุ เสวยแทรก แบบใหม่ (ระบบพลูหลวง)