วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557

กฎแห่งกรรมภายใต้อิทธิพลของดวงดาว



          กรรม  คือ การกระทำ มีทั้งการทำความดี และการทำความชั่ว  ตราบใดที่สัตว์โลกยังไม่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด   ตราบนั้นย่อมมีการก่อเวรสร้างกรรม   และชดใช้กรรมที่ก่อ  ทำดีย่อมได้รับผลแห่งกรรมดีตอบแทน  ทำชั่วย่อมได้รับผลแห่งกรรมชั่วเช่นกัน   นี่คือสัจธรรม ความจริงแท้  นี่คือคำสอนของพระพุทธองค์
                  "ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป" คำกล่าวเช่นนี้ เป็นของคนโง่เขลาเบาปัญญา  มีโมหะจริต (ความหลงผิด) ในจิตใจ จริงอยู่ที่คนบางคนนั้น สูงส่งด้วยยศศักดิ์ อัครฐาน  มีทรัพย์ศฤงคารข้าทาสบริวารมากมาย  ทั้งๆ ที่เบื้องหลัง เต็มไปด้วยความเลวทรามต่ำช้า  นั่นเป็นเพราะว่า กรรมดีที่เขาก่อเอาไว้ในอดีต ส่งผลให้เขาเป็นไป และถ้าวันใดกรรมดีเขาหมดลง กรรมที่เขาก่อในปัจจุบันจะต้องส่งผลให้เขาได้รับทุกขเวทนาอย่างแน่นอน
              มีหลายท่านแปลกใจ  หรือหลายท่านเห็นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ     ที่คนบางคนจะทำอะไรทีหรือมีเรื่องคับข้องใจ  ต้องวิ่งโร่ไปหาหมอดู  ให้ตรวจดวงชะตา หรือกำหนดฤกษ์ยาม พิธีกรรมต่าง ๆ ให้ ซึ่งจะว่าไปแล้ว วิชาดูหมอหรือโหราศาสตร์นั้น    ไม่ได้มีมาเฉพาะในสมัยโลกาภิวัฒน์นี้เท่านั้น  แต่มีมานานถึง ๗ พันกว่าปีล่วงมาแล้วทีเดียว  ถ้าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ พระพุทธองค์ในสมัยเมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ คงไม่ต้องเสียเวลาศึกษาจนแตกฉาน   เหตุที่ต้องทรงศึกษาวิชานี้     เพราะเป็น ๑ ใน ๑๘ สาขา  ของศิลปศาสตร์ ที่นักรบนักปกครองต้องเรียน
              วิชาโหราศาสตร์ เป็นวิชาที่ทำนายทายทัก เรื่องราว  หรือเหตุการณ์ต่างๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบดวงดาว  ทำนายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่เฉพาะกับคนเท่านั้น แม้แต่สถานการณ์ต่าง ๆ ของโลก  ของ ประเทศชาติ  ตลอดจนอาถรรพณ์  โชค ลาง ต่างๆ ที่เกิดขึ้น โหราจารย์ท่านจะต้องผูกดวงทุกครั้ง ก่อนที่จะพยากรณ์ออกไป   ในราชสำนักทุกแห่ง  ทั้งในอดีต และปัจจุบัน จะต้องมีพราหมณ์   ปุโรหิตาจารย์ ในตำแหน่ง พระราชครูบ้าง  พระยาโหราธิบดีบ้าง   เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการพยากรณ์ และประกอบพิธีกรรมต่างๆ แม้กระทั่งจะออกไปรบทัพจับศึก  ก็ยังต้องมีพิธี "ตัดไม้ข่มนาม"  กำราบข้าศึกศัตรูเลย ถ้าวิชาการแขนงนี้ไม่แน่จริง  คงไม่มีการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้แน่  เพราะโหราจารย์ เหล่านั้นคงจะถูกตัดหัวไปหมดแล้ว  คงไม่กล้าถ่ายทอดให้ลูกหลานในวงศ์ตระกูลเป็นแน่  (วิชาโหราศาสตร์    ในอดีตเป็นวิชาที่ปิดบังหวงแหน จะไม่ถ่ายทอดให้คนนอก ถ้าจะถ่ายทอดก็จะทำแบบขอไปที   เนื่องจากความเชื่อที่ว่าถ้าถ่ายทอดให้หมด อาจทำให้ศิษย์คิดล้างครูได้  ทำให้เป็นที่น่าเสียดาย ที่ปัจจุบันนี้หาผู้รู้จริงได้น้อยมาก)
              แล้ววิชาโหราศาสตร์ระบบดวงดาว มาเกี่ยวพันหรือมีอิทธิพลต่อชาวโลก หรือสรรพสิ่งบนโลกนี้ได้อย่างไร?
          ขอตอบว่า เป็นเพราะความฉลาดของโบราณจารย์ ที่ท่านได้เฝ้าเพียรสังเกตเรื่องราวของคนตั้งแต่เกิดจนตาย ตลอดจนสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้า กล่าวคือ เอาเรื่องของคนไปผูกไว้กับดวงดาว หรือการผูกดวงนั่นเอง ท่านได้จดจำทำบันทึกสิ่งต่างๆ เอาไว้ เมื่อเห็นว่าถูกต้องก็ตั้งเป็นทฤษฎี    หรือเป็นศาสตร์ขึ้นมา   ซึ่งมีมานานถึง ๗ พันปีทีเดียว ดังนั้นเมื่อคนเราเกิดมา  ในวันเดือนปี เวลาใด "โหร" ก็จะทำการผูกดวงในแผ่นวงกลม ที่เรียกว่า "จักรราศี" ซึ่งจะลงตำแหน่งของดวงดาวในราศีต่างๆ ในขณะเกิด  เรียกว่า "ดวงกำเนิด" เพื่อใช้ในการพยากรณ์ต่อไป ซึ่งการพยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตนั้น ก็อาศัยการโคจรของดาวเช่นเดียวกัน   เมื่อดาวใดมาทับดาวใด หรือมาเข้ามุมใดในดวงกำเนิด  ก็จะทำนายทายทักไปตามสถิติที่ได้บันทึกไว้  ซึ่งผลการทำนายมักจะไม่พลาด  ถ้าไม่มีปัจจัยอื่นใดมาแทรกเสียก่อน  เมื่อเราทราบว่ากฎแห่งดวงดาวไปสัมพันธ์กับกฎแห่งกรรม เช่นนี้แล้ว    ก็จะเป็นผลดีที่เราจะได้ทราบ เหตุการณ์ล่วงหน้า จะได้เตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมรับสถานการณ์ต่างๆ เพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา หรือบางทีอาจกลับร้ายให้กลายเป็นดีได้
          การแก้กรรม  หรือการสะเดาะเคราะห์  ต่ออายุ    เสริมดวงชะตานั้น  บางทีก็ได้ผล บางคราวก็ล้มเหลว  ทั้งนี้ทั้งนั้น  ขึ้นอยู่กับการประกอบพิธีแก้กรรมนั้นถูกต้องด้วยเหตุและผลหรือเปล่า กล่าวคือแก้ปัญหาตรงจุดหรือเปล่า หรือ เกาถูกที่คันหรือเปล่า  และเมื่อแก้ไขตรงจุดแล้ว ต้องขึ้นอยู่กับเหตุ  หรือ เจ้ากรรมนายเวรนั้นๆ ด้วยว่า  เขายอมอโหสิกรรมให้หรือไม่  ยอมผ่อนปรนกรรมให้หรือไม่ หากเขาเจ็บแค้นมากหรือเราทำกรรมหนักมากที่เรียกว่า "อนันตริยกรรม" เช่น  ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำสังฆเภท หรือยุยงสงฆ์ให้แตกแยกกัน ทำร้ายพระพุทธเจ้าแค่เลือดตกยางออก อย่างนี้ถึงแม้เจ้ากรรมเขาจะยอม แต่นายเวรเขาไม่ยอม ก็ต้องเหลือเศษกรรมให้ชดใช้เหมือนกัน
         "เจ้ากรรม" คือ ผู้ที่เราล่วงเกิน หรือก่อกรรมทำเข็ญกับเขาไว้  เปรียบเสมือน "เจ้าทุกข์" ส่วน "นายเวร" (คำว่า "เวร" แปลว่า "ผูกพัน" หรือ "ทำหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบ" ) ก็คือ บรรดาทวยเทพเทวดา ทั้งหลาย ได้แก่เทวดานพเคราะห์ เป็นต้น ท่านทำหน้าที่ควบคุมให้สรรพสัตว์ หรือสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลก ให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม เปรียบเสมือน "อัยการ หรือ ผู้พิพากษา"  นั่นเอง
          ดังที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ต้นถึงเรื่องราวความเป็นไปต่างๆ ของคนที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของดวงดาวว่ามีสาเหตุมาจากสิ่งใด ทำไม ดวงดาวซึ่งเป็นเทหะวัตถุฟากฟ้า ไม่มีชีวิตจิตใจ ถึงได้มีบทบาทกำหนดชะตากรรมของคน รวมทั้งสรรพสิ่งทั้งหลายที่อยู่บนพื้นพิภพนี้ได้ เมื่อโหราจารย์ได้ผูกดวงชะตาของคนและได้อ่านหรือพยากรณ์ความเป็นไปที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน ตลอดจนถึงอนาคต  ซึ่งนับเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจ  สำหรับผู้ที่ไม่รู้ในวิชาโหราศาสตร์  ว่าทำไมการพยากรณ์ถึงออกมาอย่างแม่นยำนัก  โอกาสพลาดแทบจะไม่มี ถ้าข้อมูลการเกิดถูกต้องตรงกับความเป็นจริง ทำให้ "เจ้าชะตา" หรือ เจ้าของดวงชะตาทราบเหตุการณ์ความเป็นไปที่จะเกิดขึ้นซึ่งนับว่าโชคดีเสมือนหนึ่งมีแผนที่ในการดำเนินชีวิต หากว่าช่วงใดอยู่ในยามตกอับ  หรือต้องรับเคราะห์กรรม    จะได้เตรียมตัวเตรียมใจ  พร้อมที่จะเผชิญ  หรือหาหนทางแก้ไขได้ทันท่วงที   เท่ากับเป็นการดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท
          เนื่องจากกฎแห่งดวงดาว  หรือการพยากรณ์ในทางโหราศาสตร์ กับกฎแห่งกรรมในทางพระพุทธศาสนา มีความสอดคล้องต้องกัน  หรือเป็นกฎอันเดียวกัน ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว  ดังนั้นการแก้กรรม หรือการแก้ไขดวงชะตา ก็จะต้องเป็นไปตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์กล่าวคือ "สิ่งใดเกิดแต่เหตุสิ่งนั้นย่อมดับไปเพราะเหตุ" การแก้ไขปัญหาทุกชนิดต้องหาเหตุแห่งปัญหาให้พบเสียก่อน แล้วแก้ปัญหาให้ถูกจุด
          ท่านคงจะเคยได้ยินคำว่า "สะเดาะเคราะห์ ต่ออายุ เสริมดวงชะตา" หรือ การประกอบพิธีบวงสรวงหลักเมือง  หรือดวงเมือง  ตลอดจนพิธีการต่างๆ อีกมากมาย แม้กระทั่งการกำหนดฤกษ์ยาม พิธีมงคลต่างๆ เช่น  งานแต่งงาน งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการห้างร้าน บริษัท ตลอดจนการแก้เคล็ด แก้ความฝัน อารรพณ์  อุบาทว์   สิ่งเลวร้าย อัปมงคลต่างๆ ฯลฯ  พิธีการเหล่านี้   ล้วนผูกพันกับดวงดาวด้วยกันทั้งสิ้น  ซึ่งผู้ที่จะให้คำแนะนำ หรือประกอบพิธีการต่างๆ เหล่านี้ได้ดีที่สุด คือ พราหมณ์ หรือ โหราจารย์ผู้ทรงคุณความรู้ และตั้งอยู่ในศีลธรรม ไม่หวังอามิสสินจ้าง มีจิตที่บริสุทธิ์ กอร์ปด้วยความเมตตา  หากท่านได้เป็นผู้ประกอบพิธีให้แล้วล่ะก็  ความสวัสดิมงคลย่อมบังเกิดขึ้นแน่นอน
          และอย่างที่บอกเอาไว้แล้ว "การแก้กรรม" หรือประกอบพิธีต่างๆ นั้น   แม้กระทำอย่างถูกต้องครบถ้วนตามพิธีการแล้ว  ใช่ว่าจะบังเกิดผลขึ้นในทันทีทันใด  หรือเห็นผลดีทุกรายเสมอไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ "เจ้ากรรม นายเวร" เขาจะยอมอโหสิกรรมให้หรือไม่ ซึ่งเมื่อคราวที่แล้ว ได้เปรียบเทียบให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเจ้ากรรม ซึ่งเป็นเจ้าทุกข์  และ นายเวร ซึ่งเป็นเสมือนอัยการ หรือ ผู้พิพากษา  และการที่อัยการจะส่งฟ้องให้ผู้พิพากษาลงโทษก็จะต้องผ่านกระบวนการจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ   หรือเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งตรงนี้แหละ จะเป็นจุดผ่อนปรน หรือเป็นช่องว่างที่จะทำให้เจ้าชะตาหรือ "จำเลย" พ้นข้อหา หรือผ่อนหนักให้เป็นเบา กลับร้ายให้กลายเป็นดีได้  ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจในที่นี้  ก็เปรียบเสมือน "กาลเวลา"  หรือ ปัจจัยอื่นๆ เช่น สร้างบุญกุศลคุ้มตัว การอุทิศกุศลผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร อันนี้ไม่ใช่เป็นการให้สินบน  แต่เป็นการทำสำนวนให้อ่อนเพื่อยกฟ้อง  หรือขอความเห็นใจเพื่อรอลงอาญา ซึ่งถ้าเจ้าชะตาสามารถทำได้ ย่อมเป็นผลดีแน่แท้ 
          ขอยกตัวอย่างให้เห็นถึงการแก้กรรม ซึ่งได้มีการบันทึกหรือเล่าต่อกันมาในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ในเรื่องของสามเณรซึ่งเป็นศิษย์ในสำนักของพระสารีบุตร  พระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าซึ่งสามเณรท่านนี้ได้รับการพยากรณ์จากพระสารีบุตรว่า "ชะตาถึงฆาต"  จะต้องมรณภาพภายใน ๗ วัน ขอให้ปลงอายุสังขารเสีย พอสามเณรได้ฟังดังนั้น  ในฐานะนักปฏิบัติธรรม ท่านก็มิได้สะทกสะท้าน  หรืออาลัยในชีวิตแต่อย่างใด  ไหนๆ ก็จะละสังขารแล้ว ก็ใคร่จะขออำลาพระอาจารย์ไปโปรดโยมบิดามารดาสัก ๓ วัน เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณเป็นครั้งสุดท้าย  เมื่อได้รับอนุญาตแล้วก็ออกเดินทาง   กะว่าจะใช้เวลาไปกลับให้ทันก่อนกำหนด เพื่อฟังธรรมจากพระสารีบุตรเป็นครั้งสุดท้าย  ในระหว่างการเดินทาง เนื่องจากในช่วงเวลานั้นเป็นหน้าแล้ง น้ำในลำธาร ห้วยหนอง เหือดแห้ง สามเณรได้เห็นปลาน้อย จำนวนหนึ่ง ดิ้นกระแด่วๆ ใกล้จะถึงเวลาตายอยู่ในบ่อน้ำที่กำลังแห้งเหือด ด้วยจิตที่เป็นเมตตา  ท่านได้นำจีวรช้อนตักปลาฝูงนั้น ไปปล่อยในแม่น้ำสายใหญ่  แล้วจึงเดินทางต่อไป   หลังจากโปรดโยมบิดามารดา และเดินทางกลับมายังสำนักแล้ว  พอครบกำหนดตามที่พระสารีบุตรพยากรณ์เอาไว้   ก็เข้าไปกราบลาเพื่อขอฟังธรรมก่อนละสังขาร  แต่พระสารีบุตรกลับไม่แสดงธรรมโปรด  และได้กล่าวกับสามเณรว่า 
          "กรรมดีที่เณรได้ช่วยชีวิตฝูงปลา ซึ่งบังเอิญเป็นเจ้ากรรมของเณรแต่อดีตชาติ  ประกอบกับบุญกุศลที่เณรได้ทำไว้ ด้วยการถือเพศบรรพชิตในปัจจุบัน  ทำให้เจ้ากรรมนายเวรเกิดความปีติ  ทั้งสองฝ่ายได้ยินยอมให้กรรมหนักถึงตายของเณรหลุดพ้น  ด้วยการ "อโหสิกรรม" ต่อกัน เณรได้พ้นกรรมบัดนี้แล้ว"
          จากเรื่องดังกล่าว จึงทำให้มีการทำบุญสะเดาะเคราะห์ด้วยการปล่อยนก ปล่อยปลา หรือให้ทานชีวิตสัตว์อื่นๆ เช่น ไถ่ชีวิตโคกระบือ ฯลฯ ในพุทธศาสนาแต่นั้นมา 
          เวลาออกจากบ้าน หากจิ้งจกร้องทัก  โบราณยังห้ามไม่ให้เดินทาง  เพราะถือเป็นลางร้าย  อาจทำให้ถึงตายได้  แล้วกรณีที่หมอดู ซึ่งมีความรู้ความชำนาญมีประสบการณ์เกี่ยวกับดวงดาว และวิถีชีวิตของคนทำนายทายทัก  ท่านจะไม่รับฟังเชียวหรือ?
          มีอยู่รายหนึ่ง หมอดูทายว่า ชะตาถึงฆาต  ให้ทำบุญถวายสังฆทาน และทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ  ซึ่งเจ้าชะตาก็เชื่อ วันที่กำหนดทำพิธีนั้น  ขณะที่ส่งคนไปรับพระมาที่บ้าน  พระยังไม่ทันมา  คนร้ายที่หมายปองชีวิต หรือมือปืนรับจ้าง ดันมาก่อนพระ  เลยโดนสาดกระสุนใส่เสียร่างพรุนตายคาบ้านทีเดียว  หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ไทยรัฐลงพาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง    ต้องขออภัยที่จำวันที่และเหตุการณ์โดยละเอียดไม่ได้  เพราะไม่ได้ตัดข่าวมาเก็บไว้  ในกรณีนี้ถือว่า เจ้ากรรมนายเวร เขาผูกใจเจ็บมีความพยาบาทมาก  ไม่ยอมรับรู้หรืออโหสิกรรมให้    เนื่องจากเจ้าชะตาคงจะก่อกรรมในอดีตชาติไว้มากและในปัจจุบันยังไม่หยุดการก่อกรรมชั่วอีก   ทำให้ไม่มีโอกาสแม้จะกระทำความดีตราบวินาทีสุดท้ายของชีวิต
          คนที่อายุสั้น ตายก่อนวัยอันสมควร ไม่ว่าจะเป็นโรคร้าย หรือพบอุบัติเหตุร้ายแรง   แม้กระทั่งการถูกฆาตกรรม  การทำอัตวินิบาตกรรม (ฆ่าตัวตาย)  ฯลฯ  คนพวกนี้ในอดีตชาติ มักจะเป็นผู้ประพฤติผิดศีลข้อ ๑ (ปานาติบาต) คือ ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือฆ่าคน หากประพฤติอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นเพราะความหลงผิดหรือความโกรธก็ตาม  เมื่อตายจากโลกมนุษย์นี้ไปแล้ว ก็จะไปบังเกิดในนรกภูมิที่ชื่อว่า "สัญชีพนรก" ต้องรับทุกขเวทนาจากการทรมาน หรือถูกฆ่าให้ตายด้วยวิธีการต่างๆ ตามที่ตนเองได้ก่อจนกว่าจะสิ้นกรรม  เมื่อพ้นกรรมจากนรกแล้ว  บางรายต้องไปอุบัติใน "เปตภูมิ" หรือ เกิดเป็นเปรต เป็นอสูรกายอีก  ต้องได้รับทุกขเวทนาจากการหิวโหย  และเมื่อพ้นกรรม  หากยังเหลือเศษกรรม ก็จะต้องไปอุบัติในภพภูมิที่เรียกว่า "เดรัจฉานภูมิ"   หรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน นั่นเอง ซึ่งสัตว์เดรัจฉานนั้นก็มีด้วยกันมากมายหลายจำพวก  แต่ที่แน่ๆ  มักจะเป็นสัตว์ที่มีช่วงชีวิตที่สั้น  หรือไม่ก็เป็นสัตว์ที่ถูกเขาฆ่านำมาเป็นอาหาร  เช่น เป็ด ไก่ เป็นต้น  หากพ้นกรรมจากสัตว์เดรัจฉานแล้ว หากยังคงเหลือเศษกรรมอีก เมื่อมาเกิดเป็นคน ก็จะมีร่างกายพิกลพิการ ปัญญาอ่อน หรือวิกลจริตได้รับทุกขเวทนาจนกว่าจะสิ้นกรรม
            เมื่อทราบสาเหตุของคนที่อายุสั้น  ซึ่งเป็นเพราะมีกรรมเก่าที่ไม่ดีมาตัดรอน หากได้รับการทายทักจากหมอดูแล้ว และต้องการจะแก้กรรม ผ่อนหนักให้เป็นเบา  ก็ต้องแก้ที่สาเหตุ   จึงจะเป็นการแก้ที่ถูกต้องที่สุด สำหรับการให้ทานนั้น  มีด้วยกันมากมายหลายวิธี  ส่วนมากมักจะให้อามิสทาน  หรือสิ่งของเงินทอง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ฯลฯ แก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีล ที่เรียกว่า "สังฆทาน" ซึ่งมีอานิสงส์มาก
          การทำบุญให้ทานนั้น สำคัญมาก  ถ้าทำให้ถูกบุคคล หรีอถูกจุดแล้ว อานิสงส์จะเพิ่มพูนมาก เช่น หากต้องการแก้กรรมกรณีชะตาถึงฆาต  นอกจากจะทำสังฆทานแล้ว  ควรทำอภัยทาน  คือ ให้ทานชีวิตแก่สัตว์ผู้กำลังตกทุกข์ถึงตาย เช่น ปล่อยนก ปล่อยปลา หากเป็นสัตว์ใหญ่เช่น วัว ควาย ก็จะเป็นการดีมาก             
          แล้วหากท่านเกิดได้รับทุกข์จากการครองเรือน  เช่น สามีภรรยาไปปันใจให้คนอื่น ต้องระทมขมขื่นเกี่ยวกับความรัก หรือการแต่งงาน  ท่านควรแก้กรรมด้วยการให้ทาน  ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องได้รับชะตากรรมเช่นเดียวกับท่านหรือบางทีหนักกว่าท่านเสียอีก ขอแนะนำให้บริจาคทรัพย์ สิ่งของ ฯลฯแก่ผู้ที่อยู่ในบ้านพักฉุกเฉิน หรือสถานสงเคราะห์ฝึกอาชีพหญิงต้องขัง   กรมราชทัณฑ์ หรือกรมประชาสงเคราะห์
          หากท่านได้รับทุกข์เกี่ยวกับบุตร บริวาร  ไม่ว่าจะมีบุตรยาก หรือบุตรเลี้ยงยาก  ดื้อรั้น  นำความเดือดร้อนมาให้ ท่านก็ต้องแก้กรรมด้วยการทำบุญกับเด็ก  ไม่ว่าจะเป็นเด็กกำพร้า เด็กพิการเด็กนักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน ฯลฯ  หรือหากมีแมวมาหา มีหมามาสู่  ก็ควรอุ้มชูเลี้ยงดูเอาไว้ อย่าไปขับไล่หรือรังแก หากต้องคดีความ ต้องเสียเงิน เสียชื่อเสียง อาจต้องติดคุกติดตะราง  ก็ควรให้ทานด้วยการปลดปล่อยสัตว์ที่ถูกกักขัง  ทำบุญกับนักโทษในเรือนจำ  บางท่านก็บนบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตั้งจิตอธิษฐานเมื่อพ้นคดีความก็จะออกบวช ฯลฯ
          อันว่า "ดวงดาว"  ซึ่งเป็นเทหวัตถุฟากฟ้าซึ่งไม่มีเลือดเนื้อจิตใจได้ส่งผลกระทบแก่สรรพสิ่งบนพื้นพิภพได้นั้น   เกิดจากการจับสถิติการโคจรในห้วงจักรวาล โดยการบันทึกให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ต่างๆ บนโลก ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต สภาพดินฟ้าอากาศ สภาพเศรษฐกิจ สังคมการเมือง ฯลฯ โดยได้กระทำต่อเนื่องกันมาเนิ่นนานหลายพันปี จนเกิดเป็นวิชาโหราศาสตร์ขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะ ๓-๔ ปีที่ผ่านมานี้  "เศรษฐกิจ" ตกสะเก็ดไปทั่วโลก  ทั้งนี้เนื่องจาก    ดาวแบคคัส ซึ่งเป็นดาวการเงินของโลก ปัจจุบันเดินอยู่ในราศีสิงห์ มีสภาพเป็นนิจ มาหลายปี (ตั้งแต่ปี ๒๕๔๖) ประกอบกับถูกราหู และเสาร์ทำมุมให้โทษอยู่อย่างแรง  แม้เสาร์จะย้ายออกจนไปอยู่ในราศีกันย์ แต่ก็ยังเล็งกับดาวแบคคัส   ซึ่งเป็นดาวการเงินของประเทศไทยอยู่ แม้กระทั่งออกจากราศีกันย์ เข้าราศีตุล (๗ ก.ย. ๒๕๕๕ ถึง ๒๖ พ.ย. ๒๕๕๗) ก็ยังร่วมกับราหู ทำมุมปลายหอกทิ่มแทงอยู่  ทำให้เศรษฐกิจของไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมา ตกอยู่ในภาวะ "ขาดดุล" ต้องสูญเสียเงินทอง และทรัพยากรต่างๆ อย่างมากมาย ถ้าเป็นดวงคนก็มีแต่รายจ่าย เงินเข้าไม่พอกับเงินจ่าย  ภาวะหนี้สินรุงรัง   และถึงแม้ราหูจะออกจากราศีตุล แต่ราหูก็จรมาเล็งดาวแบคคัส (บ) ดาวการเงินของประเทศอีก (๑๐ ธ.ค. ๒๕๕๕ ถึง ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗) จึงยังไม่ทำให้ประเทศไทยดีขึ้นในเรื่องของเศรษฐกิจการเงิน ในอีกหลายปีข้างหน้า เพราะราหู จะเล็งดาวแบคคัส การเงินของไทย ไปจนถึงวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๙ ถือเป็นกรรมของคนไทย และประเทศไทยก็แล้วกัน
          มีคนที่มาหาผมหลังจากประกอบกิจการเจ๊ง หรือไปไม่รอด มาถามว่าจะขายกิจการได้เมื่อไร ผมก็ถามเขาว่า เมื่อตอนจะเปิดร้าน หรือกิจการไม่ได้ดูหมอก่อนหรือ จริงเกือบ ๑๐๐ % ไม่ได้ดูสักราย  นี่เป็นกรณีหนึ่ง  อีกกรณีหนึ่งอันนี้มาหาผมเลย บอกว่า อาจารย์ช่วยดูดวงให้หน่อย จะซื้อร้าน ผมเห็นดวงแล้วดูเศรษฐกิจ ดูทำเล แล้ว บอกว่าอย่าเลย  มีโอกาสไปไม่รอด เขาน่ะเชื่อผมนะครับ  แต่ดันไปทำสัญญากับเขาไว้แล้ว จะคืนก็ไม่ได้  แล้วผลออกมาเป็นไง ไม่ถึง  ๓ เดือนเลย  มีปัญหากลับมาหาผมอีกแล้ว  สิ่งที่ผมช่วยได้มีอย่างเดียวคือ       
          "ให้ยอมรับความจริง และยอมรับการเปลี่ยนแปลง  ยอมแพ้กฎแห่งกรรมหรือการกระทำของตนเองเสียเถอะ"   เพราะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ การจะทำอะไรก็ตาม  คนจีนเขาถือว่า "ทำเล"  หรือ "ฮวงจุ๊ย" มาเป็นอันดับหนึ่ง  ส่วน "ดวงชะตา" มาเป็นอันดับสอง    ส่วนอันดับสามก็คือ "ความนัดในวิชาชีพ ฝีมือ และการให้บริการ" หากเจ้าของกิจการร้านใดถึงพร้อมด้วยประการทั้งสามแล้ว ขอรับรองว่า "รวยลูกเดียว" ผมเองก็เป็นลูกหลานชาวจีน เตี่ยเคยสอนเอาไว้ว่า " ลูกค้าเขาจะด่าจะว่าเราอย่างไร  เรายิ้มเข้าไว้ ขอให้เขาอุดหนุนสินค้าหรือมาใช้บริการของเราก็แล้วกัน"  ซึ่งก็เป็นความจริง ตรงกับหลักการขายที่ว่า "ลูกค้าคือพระราชา" ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายที่มีกิจการอยู่แล้ว หรือกำลังคิดจะมีกิจการโปรดใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน ก่อนที่จะสายเกินแก้         
            พูดถึง "ฮวงจุ๊ย" หรือ "เฟงจุ๊ย" นั้น  เป็นศาสตร์ที่เยี่ยมยอดมากของชาวจีน น่าเสียดายที่วิชานี้ถูกปิดบังหวงแหน จะถ่ายทอดให้เฉพาะคนในตระกูลเท่านั้น ทำให้หาผู้ที่รู้จริงได้ยาก เนื่องจากเป็นวิชาที่ละเอียดอ่อนมาก ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจและพิจารณาอย่ารอบคอบ วิชานี้ถือเป็นศาสตร์ที่แก้ไขดวงชะตาของคนได้ดีที่สุด ว่ากันว่าสามารถเปลี่ยนดวงชะตาบุคคลได้ อย่างเช่น ดวงพระนางซูสีไทเฮา  ซึ่งซินแสผู้หนึ่งได้เปลี่ยนแปลงฮวงจุ๊ย ทำให้ดวงหงส์อยู่เหนือมังกรมาแล้ว โดยสรุป วิชานี้เป็นวิชาที่ว่าด้วยการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง โยกย้ายสิ่งต่างๆ ให้อยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง ถูกทิศ   ถูกธาตุ ที่สมดุล และเกื้อกูลกัน   ไม่ใช่ดูเฉพาะทำเลฝังศพเท่านั้น แต่ดูได้ทุกเรื่องทุกสิ่ง เช่น บ้านเรือนที่อยู่อาศัยร้านค้า กิจการต่างๆ  การจัดวางสิ่งของต่างๆ ซึ่งจะว่าไปก็นับว่าแปลกมากทำให้เห็นจริงที่ว่า "ดวงดาว" นั้นครอบงำสรรพสิ่งบนโลกนี้จริงๆ  เพราะเมื่อใช้วิชานี้ปรับเปลี่ยนแล้ว สามารแก้ไขดวงชะตาได้จริงๆ
              คนที่ใช้วิชานี้ได้ผล จะต้องมีความรู้เรื่องดวงดาวอย่างแตกฉาน และต้องแยกแยะสิ่งที่พบเห็นตีความหมายออกมาเป็นดวงดาว เป็นธาตุให้ได้  ยกตัวอย่างเช่น มังกร ธาตุน้ำอยู่ทางซ้าย  ส่วนเสือขาว หรือพยัคฆ์ธาตุไฟอยู่ทางขวา ผู้ชายธาตุไฟ อยู่ทางขวา ส่วนผู้หญิง ธาตุน้ำ อยู่ทางซ้าย ภูเขาธาตุดิน ควรอยู่ข้างหลัง ส่วนสายลมทะเล เป็นธาตุลม ควรอยู่ข้างหน้า  ดังนั้น จะสังเกตเห็นว่าหลุมศพของคนจีนมักจะตั้งอยู่บนเชิงเขา หันหน้าไปสู่ทะเลเป็นส่วนมาก
              กิจการร้านอาหารนั้น เป็นกิจการที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของดาวศุภเคราะห์ ที่ประจุธาตุทั้งสี่ไว้ด้วยกันคือ พุธ ธาตุดิน หมายถึง อาหาร พืช ผัก  ศุกร์  ธาตุลม หมายถึงการตกแต่งร้านให้สวยงามมีบรรยากาศที่น่านั่งรับประทาน กิจกรรมบันเทิง และการให้บริการ จันทร์ ธาตุน้ำ ซึ่งเป็นดาวการค้า การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และ อาทิตย์ ธาตุไฟ หมายถึง ความขยันขันแข็งในการประกอบกิจการ หรือไฟในตัว  ส่วนไฟนอกตัว ก็คงจะเป็นไฟในครัวที่ทำให้อาหารสุกนั่นเอง หากบุคคลใดมีดาวทั้งสี่เด่นในดวงชะตา และไม่อยู่ในมุมอับแล้วล่ะก็ เป็นเจ้าของกิจการร้านอาหารได้เลย เมื่อดวงดีแล้ว อย่าลืมทำเลร้านค้าเป็นอันขาด เพราะคนจีนให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง  การที่ร้านอาหารจะขายดี หรือไม่นั้น   ถ้าอยู่ในเนินที่เป็นธาตุน้ำ ดาวเนปจูน เจ้าสมุทรแล้วล่ะก็ ถือว่าถูกโฉลกที่สุด ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกอะไร  ที่ร้านอาหารมักจะไปอยู่ชายทะเล และขายดิบขายดี  แม้จะขายแพงก็ยังมีคนไปนั่งกิน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น